วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เมืองไทยในมือเรา ตอนที่ 2 จลาจล..?


เรื่องโดย ศยาม


30 พฤษภาคม พ.ศ.2550 ประเทศไทย หรือ อาณาจักรสยามในอดีต กำลังมีการคาดการณ์ถึงความปั่นป่วนวุ่นวาย ที่อาจถึงขั้นจลาจล ในเมืองหลวงของประเทศ คือ กรุงเทพมหานคร อันเนื่องมาจากกรณี ที่จะมีเหตุการณ์แถลงคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง การยุบพรรคการเมืองใหญ่และเล็ก รวม 5 พรรค ในนั้นมีพรรค ไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์ด้วย

เวลาก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ในหลวงหรือพ่อหลวงของคนไทยเรา ได้มีกระแสรับสั่งกับคณะผู้พิพากษาศาลปกครองถึงความปั่นป่วนวุ่นวายนี้ ด้วยพระกรุณาหาที่เปรียบมิได้ที่พระองค์ท่านไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็นคนไทยและบ้านเมืองต้องจลาจลโกลาหล


เหตุใด การวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง จึงเป็นเหตุให้บ้านเมืองต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์อีกครั้งหนึ่ง เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันกับ พรรคการเมืองใหญ่ที่เคยมีอิทธิพลอย่างสูงครอบงำไปทุกวงการตั้งแต่ฟ้าจรดดิน วงราชการและเอกชน ไม่เว้นกระทั่งในเขตขัณฑสีมาวัดวาอาราม ทั้งเกี่ยวพันกับการคงอยู่และกลับมาของอำนาจทางการเมืองซึ่งเคยมี ยังมีคดีฉ้อฉลต่างๆที่กำลังจะชี้มูลความผิด ขึ้นสู่ศาล หรือพิพากษาออกมาในเร็ววัน อันส่งผลในทางอาญา ทางแพ่ง และการยึดทรัพย์ ต่อบุคคลที่เคยมีฐานะของ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการระดับเกือบทุกกระทรวง


การจลาจลหรือวิกฤตการณ์ จึงน่าจะถูกวางแผนให้เกิดขึ้นจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นยุทธการ ตามยุทธศาสตร์หนึ่งของการคืนกลับสู่อำนาจทางการเมืองอีกครั้ง การยุบพรรคหรือการไม่ยุบพรรค จึงเป็นเพียงยุทธการหนึ่งในหลายๆยุทธการของการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ ( หรืออีกนัยหนึ่ง ซึ่งก็คือ อำนาจที่เก่ากว่านั่นเอง )


พวกเราหมอฟัน ยืนอยู่ที่ใด ในวิกฤตการณ์แต่ละครั้งของประเทศ เพราะเคยมีคำพูดหนึ่งจากหมอฟันคนหนึ่งบอกว่า “อย่านำไฟที่ไหม้ (วิกฤตการณ์ของสังคม) นอกบ้าน(นอกวงการหมอฟัน) เข้ามาในบ้าน(ในวงการหมอฟัน) ของพวกเรา ” ???????....!!!!!!!!!!....?!?????.. คำถามของผมและ !!!!.. ความรู้สึกตกใจของผม


เรื่องนี้ต้องหวนย้อนไปคิดในช่วงสั้นๆ ที่นักเรียนวัยรุ่นคนหนึ่ง ย่างเท้าเข้าสู่เบ้าหลอมของการสร้าง “หมอฟัน” คนหนึ่งขึ้นมา โรงเรียนทันตแพทย์ของรัฐ 8 แห่ง และปัจจุบันเพิ่มเอกชนขึ้นมาอีก 1 แห่ง ใช้งบประมาณที่รัฐอุดหนุนภาษีประชาชน หรือเงินแผ่นดินปลุกปั้นคนดังกล่าวจนจบ 6 ปี หรือมากกว่า ประมาณ เกือบ 2 ล้านบาทต่อคน ปีหนึ่งจบประมาณ 400 คนซึ่งน่าจะใช้เงินแผ่นดิน เกือบ 800 ล้านบาทต่อ หมอฟัน 1 รุ่น แต่ละปีที่หมอฟัน 400 คนนี้จบมา ต้องออกไปทำงานรับใช้แผ่นดินเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้ต้องอาศัยเงินราษฎรหรือเงินแผ่นดินไปอีก เป็นเงินเดือนคนละประมาณ 12,000 บาทโดยเฉลี่ย เดือนหนึ่งต้องจ่ายเงินให้แก่พวกเขาเพื่อเลี้ยงชีพประมาณ 4,800,000 บาทและ ปีละ 57,600,000 บาท ( ตัวเลขผมอาจจะผิดได้ แต่ก็ประมาณนี้ ) คือ 57 ล้านบาทต่อปี สำหรับหมอฟันแต่ละรุ่น และเมื่อทำงานหลายปีเข้า เงินเหล่านี้ก็มากขึ้นตามลำดับ ทั้งหมด คือ เงินของแผ่นดิน อันได้มาจากการเจียดเล็กเจียดน้อย ผสมเข้าสู่คลังของแผ่นดิน และรัฐบาลทำหน้าที่บริหารจัดสรรออกมา


หรือแม้จะออกจากราชการแล้ว และเข้าสู่การเป็นหมอฟันเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสังคมเอกชนระดับใด ก็ล้วนแต่ต้องอาศัยเงินทองทรัพย์จากพี่น้องประชาชนในสังคมประเทศไทยของตนเอง ทำมาหากินเลี้ยงชีพ มีรถยนต์ บ้านหลังใหญ่ เที่ยวต่างประเทศเดือนละครั้ง และโอกาสสูงๆ มากมายนับไม่ถ้วน ที่สำคัญคือ “ อาศัยแผ่นดินประเทศไทยทำมาหากิน กอบโกยทรัพย์สินเงินทองมากมาย ” เป็นแผ่นดินที่อุ้มชูตนเองให้เกิดมาได้ มีกินมีอยู่ มีสิทธิเหนือกว่าประชาชนคนไทยอื่นๆอีกหลายล้านคน เป็นแผ่นดินวิกฤต ที่ถูกบางคนเรียกว่า “ นอกบ้านเรา ” โดยไม่หวนคิดสักนิดว่า “ บ้านเรา ( หมอฟันทั้งหลาย ) ตั้งตระหง่านฝังราก สูบกินความสุขสบาย บนผืนแผ่นดินใด ”


ด้วยเหตุนี้ ไม่มากก็น้อย แต่ละคนไม่เพียงหมอฟันเท่านั้น ก็ต้องมีสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน ที่บางคนในแต่ละวันที่อยู่ดีมีสุข อาจไม่เคยนึกถึงด้วยซ้ำไป เพราะยกเอาเหตุที่ตนเองเสียภาษี ( แบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ) ไปแล้วว่า ได้ทำหน้าที่แล้ว แต่จะนึกถึงก็ต่อเมื่อปัญหาหรือวิกฤตการณ์ได้ย่างก้าวเข้ามาหาประโยชน์แห่งตน เช่น เรื่องทำฟันประกันสังคม ( ซึ่งเป็นเรื่องเล็กของสังคม แต่เป็นเรื่องใหญ่ของหมอฟัน ) เป็นต้นในทุกแผ่นดิน ทุกสมัยของมนุษย์ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ จะมีคนสองพวกเสมอมา หนึ่งคือ ทุรชน คนขายชาติขายแผ่นดิน และอีกหนึ่งคือ วีรชน คนกอบกู้ชาติแผ่นดิน โดยมีคนกลุ่มใหญ่คอยเฝ้าดู หนุนช่วยบ้างในแต่ละฝ่าย ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงนำคนสยามแห่งเมือง อโยธยา ศรีรามเทพนคร กอบกู้ชาติแผ่นดินกลับคืนมาครั้งนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ส่วนหนึ่งมีกลุ่มคนขายชาติขายแผ่นดิน จนทำให้ต่างด้าวท้าวต่างแดน บุกผ่านประตูเมืองอโยธยาเข้าไปได้ จนเมืองล่ม เป็นตราบาปแห่งแผ่นดิน และพระองค์ดำ ได้ทรงพยายามชะล้างตราบาปนั้น ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขคืนกลับมายังอาณาจักร


ท่านต้องพิจารณาและถามใจตนเองว่า จะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ที่ทำให้ท่านมีชีวิตสุขสบายแบบนี้เหนือกว่าประชาชนนับสิบล้านคนอย่างไร หรือท่านจะเพียงนิ่งเฉย แล้วก็ถอยกลับที่ตั้ง ดั่งหัวเต่าที่คอยยื่นแผลมออกมา พอมีอันตรายก็หดเข้ากระดองเพื่อป้องกันตนเท่านั้น

0 ความคิดเห็น: