มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี693 ถนนบำรุงเมือง แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100โทรศัพท์ 0-2226-5666 ( งานวางแผนและโครงการ ต่อ 2707,2402 ) โทรสาร 0-2225-5411, 0-2225-5510

มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เริ่มโครงการจัดบริการทันตกรรมในเขตพื้นที่สูงตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งฉันเป็นอาสาสมัครไปที่อำเภอท่าสองยางร่วมกับ หมอป๊อกและหมอผึ้ง เราสามคนเป็นข้าราชการที่ทำงานคลินิกเอกชนพอเป็น ไอเดีย ส่วนคุณหมอยงชัยและหมอสมเกียรติทำงานคลินิกเอกชนเต็มเวลา และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ พอสว.อีก 2 คน คณะเรา 7 คนออกเดินทางจากหมอชิต เมื่อถึงแม่สอด แวะอาบน้ำที่โรงแรม ประมาณบ่ายโมงออกเดินทางไปอำเภอท่าสองยางซึ่งห่างออกไปอีก 80 กิโลเมตร ด้วยรถของมูลนิธิตรงขึ้นดอยไปยังหมู่บ้านที่เป็นจุดบริการทันตกรรมชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ทางมูลนิธิมีเครื่องปั่นไฟไปเองเครื่องมือพร้อม เมื่อขึ้นไปถึงจุดปฏิบัติงานแห่งแรกที่หมู่บ้านซอแข่แวคี ตำบลแม่สองซึ่งเป็นที่พักด้วย ก็เป็นเวลาเย็นพอดี เราสามสาวได้นอนที่บ้านพักครูในศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา (แม่ฟ้าหลวง) สังกัดศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ส่วนหมอผู้ชายมีกระท่อมเจ้าเงาะให้นอนฝันหวานถึงนางรจนา ที่บ้านทางมูลนิธิยกครัวขนาดอลังการขึ้นมาที่นี่ อาหารอร่อยทุกมื้อ แถมมีน้ำร้อนกาแฟชาโอวัลตินตั้งไว้ตลอดวันตลอดคืนซึ่งถูกใจฉันมาก
เช้าวันที่ 2 ให้บริการทันตกรรมชาวกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านซอแข่แวคี “ ซอ ” แปลว่า ไผ่ ส่วน “ แข่แวคี ” เป็นชื่อพันธุ์ไผ่ชนิดหนึ่ง ครูพาเด็กกะเหรี่ยงหญิงสองคนมาเป็นล่าม เด็กสองคนนี้เรียนชั้นมัธยมต้นจึงรู้ศัพท์ภาษาไทยพอสมควร ฉันสอนแปรงฟันให้เด็กสองคนนี้ไปสอนเด็กๆ ที่มารอทำฟัน ผู้ใหญ่ก็ได้ดูได้ฟังไปด้วย ผู้รับบริการจะได้แปรงและยาสีฟันเป็นของแถม ถ้าเป็นเด็กจะได้ลูกโป่งบิดเป็นรูปต่างๆด้วย หมอแต่ละคนมีล่ามประจำตัวกันเพราะคนไข้ส่วนใหญ่พูดไทยไม่ได้ฟังก็ไม่ออก บนดอยไม่มีสัญญาณให้ใช้มือถือระบบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ยังดีที่มีไฟปั่นให้ใช้ถึงสี่ทุ่มและได้อาศัย TV ติดตามข่าวสาร
วันที่ 3 ของภารกิจ เรายังตั้งคลินิกที่เดิมโดยมีรถรับส่งเด็กและผู้หญิงมาจากหมู่บ้านผาแดง ส่วนผู้ชายเดินมาเอง ฉันทึ่งมากกับการเดินของคนดอย ก็ในวันที่ย้ายคลินิกมาที่หมู่บ้านวะเบลอลู่ ขบวนรถของเราผ่านครูและเด็กที่อายุไม่น่าเกินห้าหกขวบ พากันเดินมาจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง เมื่อเสร็จงาน ฉันเห็นครูคนนั้นเลยถามถึงเด็ก ได้คำตอบว่าเด็กเดินกลับไปตั้งนานแล้วไปกับเพื่อนเด็กด้วยกันอีกคน และอธิบายต่อว่าเด็กเดินกันจนชินและไม่มีอันตรายอะไรหรอกแค่นี้เอง เดินกันเก่งอย่างนี้นี่เอง ถึงไม่เห็นมีกะเหรี่ยงหุ่นตุ้ยนุ้ยเลย
วันที่ 5 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เราย้ายคลินิกไปที่อุทยานแม่เมยเพื่อให้บริการคนหมู่บ้านละแวกนั้น มีคนไข้เด็กคนหนึ่งอายุสัก 3 ขวบได้ ปรากฏว่าแม่เด็กกลับบ้านไปแล้ว ให้ล่ามถามด้วยภาษากะเหรี่ยงว่าเป็นอะไร ปวดตรงไหน เด็กก็ไม่ตอบ ตรวจในปากมีฟันกรามน้ำนมผุก็อุด class II ให้ 2 ซี่ เด็กที่นี่อ้าปากเก่งมากนอนนิ่ง คงกลัวล่ะเพียงแต่ไม่แสดงออก การที่พ่อแม่ปล่อยลูกไว้กับหมอและให้เดินกลับบ้านเอง ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักไม่ห่วงลูก แต่น่าจะเป็นเพราะเขารู้ว่าเด็กรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้สบายมากซึ่งไม่ได้เก่งแบบนี้เพียงคนเดียวแต่เก่งกันทุกคนทุกหมู่บ้าน
เราทำงานกันสามวันครึ่ง รอจนแน่ใจว่า ไม่มีใครต้องการรับบริการแล้วจึงหยุด มีคนไข้รวมทั้งหมด 571 คน เป็นการอุดฟัน 151 ราย 274 ซี่ ถอนฟัน 107 ราย 147 ซี่ (รวมผ่าฟันคุด) ขูดหินน้ำลายซึ่งที่จริงเป็นการขูดคราบหมาก 330 คน เคลือบหลุมร่องฟัน (sealant) 11 คน 31 ซี่ และอื่นๆ 172 ราย ที่ sealant น้อยเพราะเด็กที่นี่กินอาหารธรรมชาติฟันจึงสึกกันเป็นส่วนใหญ่ ตัวฉันเองไม่เจอเด็กที่มีหลุมร่องลึกพอที่จะให้ seal ได้เลย มีการส่งต่อเด็กที่มีปัญหาติดเชื้อที่ใบหูไปที่โรงพยาบาลท่าสองยาง เราไปเยี่ยมเด็กคนนี้ที่โรงพยาบาลในวันที่จะกลับกทม. และได้แวะคุยกับทันตแพทย์ของโรงพยาบาลชุมชนที่นี่ บนดอยสูงไม่มีไฟฟ้าจึงมีข้อจำกัดในการบริการทันตกรรมหัตถการ แต่ของมูลนิธิมีเครื่องปั่นไฟไปเองเครื่องมือพร้อม หากใช้ไฟของการไฟฟ้าภูมิภาคที่นี่คงมีปัญหาไฟตกเหมือนกัน
ปัญหาในช่องปากของเขาไม่มากเมื่อเทียบกับคนเมืองแม้ว่าจะไม่แปรงฟันกัน พฤติกรรมที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพช่องปากที่สำคัญมี 2 อย่างคือ กินหมาก เด็กสองขวบมีฟันกรามน้ำนมขึ้นก็เริ่มกินกันแล้ว และมีพ่อแม่หลายคนที่ซื้อหาลูกอมหรือขนมกรุบกรอบให้ลูกเล็กๆ ขณะที่ไม่ค่อยแปรงฟันกัน เด็กนักเรียนหรือวัยรุ่นมักแปรงตอนเช้า ไม่แปรงก่อนนอน ผู้ใหญ่ยังคุ้นกับวิถีชีวิตแบบเดิมที่ไม่แปรงฟัน เด็กเล็กจึงไม่มีใครแปรงฟันให้ ถ้าพฤติกรรมบริโภคเป็นแบบคนเมืองก็คาดได้ว่า อีกไม่นานจะมีปัญหาฟันผุเพิ่มขึ้น ทีมเราได้เสนอต่อมูลนิธิว่า น่าจะเพิ่มการรณรงค์เลิกกินหมากและสื่อสารด้านทันตสุขภาพให้มากขึ้นเช่น แนะนำตอนคนไข้รอทำฟันโดยเน้นแนวบันเทิง หรือให้ครูโรงเรียน กศน. ช่วยเน้นย้ำนักเรียนและพ่อแม่เด็ก และหากมูลนิธิประสานกับทันตแพทยสภาให้การออกหน่วยนี้สามารถนับเป็นเครดิตในด้านการบริการสังคม / ชุมชน จะจูงใจให้ทันตแพทย์เอกชนเป็นอาสาสมัครมากขึ้นเพื่อช่วยกันบริการพลเมืองไทยบนดอยที่เข้าไม่ถึงบริการ
ออกหน่วยคราวนี้ มีพี่น้องชมรมออฟโรดมาช่วยทำอาหารง่ายๆ เลี้ยงเด็กในหมู่บ้าน ในวันสุดท้ายยังช่วยพาเด็กนักเรียนที่เป็นล่ามให้เราไปส่งที่บ้านบนดอยขณะที่พวกเรามุ่งลงพื้นราบเพื่อกลับกทม. สำหรับท่านที่มีจิตใจสนับสนุนโครงการสามารถร่วมบริจาค CDการศึกษาหรือบันเทิงที่เหมาะกับเด็ก หรืออุปกรณ์กันหนาว ถ้าพอมีเวลาว่าง ขอเชิญชวนท่านมาหาประสบการณ์ใหม่บนพื้นที่สูงๆ จะมาแบบศิลปินเดี่ยวหรือกลุ่มก็ได้ ?
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น