โดย ทันตแพทย์ ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ
ตลอดช่วงเวลาร่วม 20 ปี ที่ทำงานอยู่กับกระทรวงสาธารณสุข มีราว 2-3 โอกาสที่หน่วยงานได้สนับสนุนให้ผมได้เข้าร่วมการอบรมหรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ได้รับการพัฒนาศักยภาพเพิ่มขึ้น ช่วยให้มองเห็นโลกกว้างขึ้น เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ลึกซึ้งขึ้น และมีผลช่วยปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เมื่อนึกย้อนกลับไป เห็นว่ายังมีทีมงานสาธารณสุขท่านอื่นๆอีกมาก ที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรดังที่ผมเคยได้รับ
ตลอดช่วงเวลาร่วม 20 ปี ที่ทำงานอยู่กับกระทรวงสาธารณสุข มีราว 2-3 โอกาสที่หน่วยงานได้สนับสนุนให้ผมได้เข้าร่วมการอบรมหรือทำกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ได้รับการพัฒนาศักยภาพเพิ่มขึ้น ช่วยให้มองเห็นโลกกว้างขึ้น เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ลึกซึ้งขึ้น และมีผลช่วยปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เมื่อนึกย้อนกลับไป เห็นว่ายังมีทีมงานสาธารณสุขท่านอื่นๆอีกมาก ที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรดังที่ผมเคยได้รับ
ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ฝ่ายพัฒนาคนของ สสส.ได้สนับสนุนให้ผมเข้ารับการอบรมเรื่อง “ 360? LEADERSHIP ” ซึ่งจัดโดยสถาบันพัฒนาบุคลากรระดับสากล (ITD) โดยมีวิทยากรเพียงคนเดียว แต่บินตรงจาก USA เป็นหลักสูตรที่กระตุกความคิด มุมมองเรื่องการพัฒนาความเป็นผู้นำ ที่น่าสนใจมาก (สามารถหาหนังสือชื่อเดียวกันมาอ่านได้) ผมพบว่า ผู้เข้าร่วมกว่าร้อยละ 90 มาจากภาคเอกชน
นี่เป็นประจักษ์พยานหนึ่งว่า การพัฒนาคน เป็นหัวใจหนึ่งสำหรับความอยู่รอดขององค์กรภาคเอกชน ที่ต้องแข่งขันสูง เพราะตระหนักดีถึงเรื่องนี้ จึงมีการวางระบบและการลงทุนเรื่องพัฒนาคนไว้ในลำดับความสำคัญต้นๆ ขณะที่ภาครัฐแม้จะเข้าใจถึงความสำคัญ แต่ยังขาดการวางแผนการพัฒนาอย่างเป็นระบบ และลงทุนในวงจำกัดส่งผลให้เกิดความบิดเบี้ยวในการทำงาน และขาดประสิทธิภาพในหลายองค์กร จึงเข้าใจได้ว่า นี่อาจจะเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้งานหลายส่วนของระบบราชการ คล้ายกับย่ำอยู่กับที่ หรือวนไปวนมาอยู่กับปัญหาเดิมๆ เพราะคนซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนงานไม่ได้รับการพัฒนาที่เหมาะสมและพอเพียง
เร็วๆ นี้ ผมได้รับเมลจากน้องทันตภูธรคนหนึ่ง เธอบ่นว่า ไม่เห็นด้วยกับที่ทันตแพทย์หลายคนเรียกร้องเงินค่าตอบแทน “ พตส.” ให้ได้เช่นเดียวกับแพทย์ เพราะความรับผิดชอบและความหนักเบาของการทำงานต่างกัน ...มีน้องทันตแพทย์อีกคน ที่บ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมของหัวหน้าฝ่ายทันตฯในบางโรงพยาบาลที่ส่งผลให้น้องๆ ทันตแพทย์ ตัดสินใจลาออก...
มีพี่ๆ อีกหลายคนเช่นกันที่บอกมาว่า น้องทันตแพทย์รุ่นใหม่ๆมีความรับผิดชอบลดลง มีความอดทนต่ำ และขาดทักษะการสื่อสารกับคนรอบข้าง ทำให้เกิดความขัดแย้งในที่ทำงานบ่อยครั้ง ... เพื่อนในระบบราชการคนหนึ่ง เล่าว่า เบื่อที่ทำงานเหลือเกิน เพราะทำงานเต็มที่ ตรงไปตรงมา ยังถูกเจ้านายกระแนะกระแหนและไม่ก้าวหน้าเหมือนคนที่คอยเอาอกเอาใจเจ้านาย ... ฯลฯ ...
ผมคิดว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ ดำรงอยู่มาโดยตลอดของแวดวงระบบราชการ ขณะที่ในองค์กรที่มีการวางระบบพัฒนาคนอย่างมีประสิทธิผล แทบไม่มีปัญหาเหล่านี้
คงจะอีกนานที่แวดวงราชการจะมีการลงทุนเรื่องพัฒนาคนอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดค่าตอบแทนและโอกาสความก้าวหน้าที่เหมาะสม ผมจึงคิดว่า ชมรมทันตภูธร เป็นองค์กรหนึ่ง ที่น่าจะผลักดันและริเริ่มบางเสี้ยวของการพัฒนาทันตบุคลากรขึ้นมา โดยการระดมสมองกันว่า ในแวดวงการทำงานทันตสาธารณสุขมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาบ่อยๆ ในลักษณะใดบ้าง แล้วอาจปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาคน เพื่อออกแบบหลักสูตรและ/หรือกระบวนการบางอย่าง ที่ช่วยเสริมสร้างพฤติกรรมของทันตบุคลากรที่จะช่วยลดปัญหาเหล่านั้นได้
จากนั้นก็ร่วมมือกันผลักดันให้มีช่องทางจัดการฝึกอบรม และ / หรือกระบวนการต่อเนื่อง ดังที่ได้ไตร่ตรองทบทวนกัน เพื่อกำหนดเป็นหลักสูตรที่ทันตบุคลากรควรได้เข้าร่วมอย่างน้อยปีละครั้ง ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มโอกาสเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานทันตสุขภาพได้พร้อมๆไปกับการสร้างความสุขให้กับคนทำงานได้ด้วย ..เป็นช่องทาง และภารกิจหนึ่งที่อาจเป็นงานสำคัญในอนาคตของชมรมทันตสาธารณสุขภูธรในระหว่างที่เรายังไม่มีการสร้างระบบการพัฒนาทันตบุคลากรที่เหมาะสม
ผมเสนอว่ากระบวนการพื้นฐานต่างๆ ต่อไปนี้ ที่กลุ่มทันตบุคลากรพึงพิจารณานำไปเลือกรับปรับใช้ได้แก่
@ การค้นหาข้อมูล และอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดในการพัฒนาศักยภาพของเรา
@ การพูดคุยกับผู้มีประสบการณ์
@ การหาโอกาสทำงานอื่น ที่เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
@ การเข้าไปร่วมทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของเรา ...หรือริเริ่มทำงานวิจัยเล็กๆ เพื่อตอบคำถามในงานที่ทำอยู่
@ การเข้ารับอบรมบางเรื่องที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน
@ การประชุมปรึกษาหารือภายในทีมงาน โดยทุกคนมีความเท่าเทียมในการเสนอความเห็น...เพื่อหาทางเพิ่มประสิทธิภาพและแก้ปัญหาที่พบอยู่ในการทำงาน กระบวนการต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยพัฒนาศักยภาพของเราให้มีโอกาสทำงานที่ยากๆได้เพิ่มมากขึ้น(แต่ดูเหมือนเราจะยังทำกันน้อย ถึงน้อยมาก ???) ...
หากเราสามารถสร้างวัฒนธรรมการพัฒนาตนเองเหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าแทนที่ทันตบุคลากรเราจะมีมุมมองแคบๆ มองเพียงผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับและย่ำวนอยู่กับปัญหาเดิมๆ ไม่รู้จบ แวดวงทันตสาธารณสุขจะมีบุคลากรระดับคุณภาพเพิ่มมากขึ้น ปัญหาในวิชาชีพจะลดลงและจะสามารถช่วยกันสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่าให้กับสังคมไทยได้มากยิ่งขึ้น ดังที่อาจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า “เมื่อเราก้าวออกไปทำงานเพื่อลดทุกข์ของคนอื่น ทุกข์ที่เราคิดว่ามีอยู่จะมลายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเราได้เพิ่มคุณค่าให้กับทั้งตนเองและสังคมไปพร้อมกัน ”
1 ความคิดเห็น:
ฝากทางสถาบันที่ผลิตทันตแพทย์หรือรุ่นพี่ทันตแพทย์รุ่นเก่าช่วยดูแลพัฒนาจิตใจทันตแพทย์รุ่นใหม่หน่อย รู้สึกว่าแย่ลงเรื่อยทั้งด้านความคิด และศักยภาพในการทำงาน
แสดงความคิดเห็น