วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บันทึกหมอฟันบนดอย


โดย ทพ.พูลพฤกษ์ โสภารัตน์


เชื่อคำพ่อสอน : “...จะทำงานทำการอะไรก็ตาม ถ้าทำด้วยร่างกายมันก็เมื่อยกาย ถ้าทำด้วยใจจะว่าเมื่อยใจ มันหนักใจเหนื่อยใจมันเป็นไปได้ ฉะนั้นการทำงานทำการ ถ้าทำด้วยความร่าเริงที่จะทำงานทำการ ความเมื่อยนั้นจะหมดไป ความเหนื่อยจะไม่มีหรือมีแล้วเราก็ไม่รับ เพราะว่าความเมื่อยของกาย ความเหนื่อยของใจนั้นมันมีเสมอ แต่ถ้าเราไม่รับมันจะไปไหน มันก็ไม่มีมัน เกิดเมื่อยขึ้นมาก็หายไป ฉะนั้นการที่จะทำงานให้ดีก็ต้องมีความร่าเริง ความตั้งใจที่จะทำ เมื่อมีความตั้งใจแล้ว ต้องมีความอดทนเหนียวแน่น…”พระราชดำรัสพระราชทานแก่บุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ณ. ศาลาดุศิดาลัย วันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓


อาชีพ ทันตแพทย์ หรือ หมอฟัน ในมุมมองของชาวบ้านทั่วๆ ไป ก็คงคิดว่าอยู่ตามโรงพยาบาล หรือ คลินิก และก็ในห้องฟัน ซึ่งก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในมุมมองและบริบท ของผม คิดว่า ทันตแพทย์ ก็เป็นมนุษย์ เป็นอาชีพที่ผ่านระบบการเรียนรู้มาค่อนข้างเยอะ อย่างน้อยๆ ก็ 6ปี ไหนจะเรียนต่อเฉพาะทางอีก...ก็ขอเล่าเรื่องความประทับใจจากการทำงาน ที่ผ่านมาของผมนะครับ

ผมเป็นทันตแพทย์ประจำ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ระยะทางห่างจากเมืองน่าน 150 กม.ขับรถไปกลับประมาณ 5 ชั่วโมง ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเขา เผ่าลัวะ อยู่บนพื้นที่ราบตามไหล่เขา โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติของเรา เปิดให้บริการ วันที่ 1 ตุลาคม 2547 สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เจ้าหน้าที่ ที่นี่ทุกคนเป็นชุดแรกหมด ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช และน้องพยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่น ๆ (เริ่มต้นมี บุคลากรทั้งหมด 16 คน ปัจจุบัน ปี 2550 มีทั้งหมด 25 คน) ห้องฟันก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลมีผม ทพ.พูลพฤกษ์ โสภารัตน์ เป็นทันตแพทย์(หมอใหม่) และน้องทันตาภิบาล 1 คน คือ น.ส.ปทิตตา วิชชาพันธ์ (น้องส้ม)

แรกๆก็อยู่กัน 2 คนไม่มีผู้ช่วยทันตแพทย์ โรงพยาบาลนี้อยู่กันแบบ พี่ – น้อง มีอะไรก็ช่วยๆกันครับ อย่างในห้องฟันช่วยกันทุกอย่าง ตั้งแต่รักษาคนไข้ ล้างเครื่องมือ ลงข้อมูลผู้ป่วย ทุกคนทำเป็นหมด (เริ่มมีผู้ช่วยฯเมื่อ เดือน ก.พ. 2549) ห้องทำฟัน ห้องเล็ก ๆ แต่มากด้วยอุปกรณ์ จะจัดอย่างไรให้น่าอยู่ สะอาด น่าเข้ามารับบริการ อยู่แล้วมีความสุข ก็ช่วยกันค่อย ๆปรับแต่งไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ยังแต่งไม่เสร็จ (คิดว่าคงไม่มีวันเสร็จ เปลี่ยนไปตลอด ไม่เบื่อดี) นอกจากงานบริการทางคลินิกทันตกรรมที่ทำในระยะแรก เรายังรับเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ วันที่ 21 ตุลาคม 2547 ขอเล่าเหตุการณ์นะครับ

วันที่ 20 ต.ค.2547 ก่อนวันงาน ก็เริ่มเตรียมงานกันแต่เช้าเลย ตั้งแต่สถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ ก็อาศัยคณะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนี้แหละ บ่ายแก่ๆพี่–น้องชาวทันตฯก็มาช่วยเตรียมงาน ช่วงเย็นเราก็ออกไปประชาสัมพันธ์ (กลัวจะไม่มีใครมา) แล้วก็กลับมาทานข้าว แล้วก็เข้านอน ตี 5 กว่า ๆ ก็ตื่นมาทำงานกันแต่เช้าตรู่ สรุปคือ เหนื่อยปนสนุก คนไข้ประมาณ 250 คน มีทำทุกอย่าง ขูด อุด ถอน ที่รู้สึกดีมาก ๆ ก็ ความร่วมมือกันของทันตบุคลากร ตลอดจน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล นี่แหละสิ่งดี ๆ ที่เมืองน่านหลังจากนั้นไม่ถึง 1อาทิตย์ ก็มีงานใหญ่ อีกงานสำหรับเรา เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเฉลิมพระ-เกียรติ คือ งานเตรียมรับเสด็จ สมเด็จพระเทพฯ ในงานเปิดโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 พ.ย. 2547 ก็เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี (อย่างที่บอก นี้แหละสิ่งดี ๆ ที่เมืองน่าน)

การทำงานนั้นสำคัญที่สุด คือ ต้องใช้ใจทำงาน ช่วยๆกันทุกๆ ฝ่าย ออกหน่วยเข้าหาชาวบ้าน ให้ชาวบ้านรู้จักเราให้มากขึ้น Mobile PCU คือ การออกรักษา และให้ความรู้ ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ชาวบ้านในชุมชน เพื่อเปิดตัวเราให้ชาวบ้านรู้จักคุ้นเคย เดินเที่ยวตามบ้านในชุมชน เรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรม กินข้าวกับชาวบ้าน แถมได้ของฝากติดมือกลับมาอีกด้วย

อยู่โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ได้ทำแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ขับรถ refer, คนสวน, ถ่าย X-ray ไปจนถึง การพัฒนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้มาช่วยในการให้บริการผู้ป่วย งานบริหาร การเงิน และงบประมาณ หากจะถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อยนะครับ แต่มันสนุกดี ดังแผนที่ชีวิต ของในหลวงของเรา มีข้อหนึ่งที่ว่า “ไม่มีวันไหนเป็นวันทำงาน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด”

การเดินออกนอกห้องฟัน ไปรู้จักชาวบ้านเดินเยี่ยมตามหมู่บ้าน , การถามชื่อผู้ป่วย ที่อยู่ ก่อนจะถามอาการสำคัญ อะไรพวกนี้มันสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผมได้มาก ทำให้เราเข้าใจวิถีชีวิต อย่างน้อยที่สุด เราก็ไม่ควรจะเอาความคิด ความรู้สึกของเรามาตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกต้องเหมาะสม... ผมเชื่อว่าหากพวกเราได้รู้ เข้าใจ และยอมรับในความแตกต่างของวัฒนธรรม คงจะทำให้การทำงานมีความสุขขึ้น จริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นหมดมาตั้งแต่จบนะครับ แต่เชื่อในศักยภาพของคน ว่าเราสามารถพัฒนาตัวเองได้ หากมีโอกาส ซึ่งคนเราก็มีอยู่ 1 สิ่งที่เท่าเทียมกัน ก็คือเวลาครับ ทุกคนมี 24 ชม.เท่ากัน

สำหรับผมการได้มาอยู่ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ถือเป็น ของขวัญที่สำคัญ ชิ้นหนึ่งของผม ที่พอจะพูดได้เลยว่า ไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะ ณ. ที่แห่งนี้ ได้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ ในหลากหลายด้าน ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้พัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ มากขึ้น แม้จะไม่มี ใบประกาศนียบัตร หรือ ปริญญาใด ๆ แต่สิ่งที่เรารู้ว่าเราได้มันคืออะไร พอจะกล่าวเป็นคำพูดได้ประมาณนี้ .. “การมองผู้ป่วยเป็นทั้ง คน และ อาจารย์” .. “การที่เราไม่รู้เรื่องเล็กๆ เราก็คงจะทำการใหญ่ๆ อะไรไม่ได้” ... “เพื่อนร่วมงานทุกคนคือ เพื่อน ไม่ใช่ ผู้รับใช้เรา” .. “มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์”…ที่สำคัญอีกอย่างคือ “เราพึงหาความสุขจากสิ่งรอบตัวง่ายๆ”
โดยสรุปแล้ว ผมก็เคยนั่งคิดอยู่ว่า ทำไมเราต้องมาทำอะไร นอกเหนืองานทันตแพทย์ของเราด้วย...ก็พอจะได้ขอสรุปคร่าวๆ โดยคิดว่าน่าจะตรงกับเจ้าของคำพูดนี้ อ.โสภณ สุภาพงศ์...“ ผมก็แค่ทำหน้าที่ ที่มนุษย์คนหนึ่ง พึงปฏิบัติต่อมนุษย์” จริงๆ แล้วก็ไม่ยาก และไม่ลำบากอะไร แค่ทำด้วยความรู้สึกปรารถนาดี หวังให้คนรอบข้างมีความสุข ผมรู้สึกแบบนั่นจริงๆ


0 ความคิดเห็น: