วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เส้นทางสร้างสุข : ช่องว่างใหญ่ระหว่างนิโรธกับมรรค


โดย ทพ. สุปรีดา อดุลยานนท์


หลายปีที่ผ่านมา เส้นทางเดินของชีวิตการงานของผมได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับกับภารกิจ “สร้างสุข” ระดับมหภาคของผู้คนมากขึ้น และหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ประสบกับคำถาม ความคาดหวัง ทฤษฏี ความเชื่อ สมมุติฐาน การลงมือทำ กรณีศึกษาของความสำเร็จและล้มเหลว ที่มากมายหลากหลาย จนเมื่อคิดว่าจะหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์นี้ ก็เกิดอาการลังเล เลือกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเพราะรู้มากจนไม่รู้จะเลือกเล่าอะไรหรอกครับ แต่ออกไปในทางที่ตระหนักว่า ยังไม่รู้อะไรอีกมาก และความรู้ที่สะสมมากที่สุดคือ ความรู้ว่า เรายังขาดความรู้อะไรในการจะมีส่วนทำให้คนจำนวนมากลดทุกข์ และเพิ่มสุขขึ้นบ้าง



มาคุยกันเรื่องที่ผมรู้ว่ายังไม่รู้ หรือรู้ไม่พอกันดีกว่านะครับ จะได้หาทางช่วยกันสร้างปัญญาที่ยังขาดกันอยู่ให้เพิ่มเติมขึ้น



ในสังคมที่ (เราหวังกันว่า) เป็นสังคมฐานความรู้ และการทำงานในองค์กรที่ (เราก็หวังกันว่า) เป็นองค์กรเรียนรู้ ผมเห็นความพยายามที่จะใช้ฐานความรู้มากขึ้นในการตัดสินใจ การตอบปัญหาและกำกับการทำงาน ในบรรดาข้อมูล ข่าวสาร และองค์ความรู้เท่าที่มีและนำมาใช้สนับสนุนการทำงานเหล่านี้ แม้โดยรวมอาจจะบอกว่ายังไม่เพียงพอ ต้องการการพัฒนาอีกมาก แต่ด้านที่พอมีมากกว่าด้านอื่นๆ คือ ส่วนของสถานการณ์ปัญหา รองๆลงมาคือเหตุปัจจัยของปัญหานั้น และมีข้อเสนอของทางแก้ไขปัญหาระดับกว้างๆอยู่ไม่น้อย ทั้งจากที่สังเคราะห์มาจากองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง และจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่รวมเอาประสบการณ์หรือองค์ความรู้ในตัวตนประกอบเข้าไปด้วย แต่ด้านที่ออกจะขาดมากหน่อย คือ องค์ความรู้ถึงแนวทางดำเนินงานที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ ( มีโอกาสสูงที่จะ) ประสบผลสำเร็จ จากจุดตั้งต้นปัจจุบัน ภายใต้บริบทที่เป็นจริง




พูดง่ายๆ คือ ถ้าใช้อริยสัจ 4 เรื่องการดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้วมาเทียบเคียง ผมอยากจะสรุปว่า เรารู้เรื่องทุกข์ สมุทัย และนิโรธมากพอสมควร แต่ช่องว่างความรู้ ความเข้าใจที่ขาดอยู่มาก คือ มรรค หนทางสู่การดับทุกข์ นั่นทำให้ ปัญหาที่สังคมรับรู้ ตระหนัก และมีการแจกแจงรายละเอียด และเหตุปัจจัย ตลอดจนกระทั่งชี้ถึงแนวทางที่ควรทำเพื่อแก้ปัญหาจำนวนมาก ยังกองอยู่ตรงนั้น บางปัญหาอยู่มานับทศวรรษทั้งที่มีองค์ความรู้สะสมชี้ถึงทิศทางในการจะแก้ไขมานานแล้ว อย่างเช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการศึกษา ปัญหาสุขภาพ ปัญหาระบอบประชาธิปไตย ปัญหาสันติภาพ ฯ ทั้งในภาพรวมและประเด็นเฉพาะต่างๆ นิโรธที่เห็นพ้องต้องกันจนไม่ค่อยมีใครเถียงกันแล้ว อย่างเช่น “การเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน” “การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน” “การสร้างจิตสำนึก ความตระหนักรู้” “การสร้างปัญญา” ฯลฯ ยังขาดยุทธศาสตร์ ขาดเครื่องมือ และขาดตัวอย่างรูปธรรมที่หลากหลายเพียงพอในการขับเคลื่อนให้มากพอ เร็วพอ กับสภาพปัญหาที่ทับถมเข้ามา


คราวหนึ่ง ผมเคยได้รับเชิญไปให้ความเห็นในการทบทวนพัฒนาหลักสูตรด้านสังคมศาสตร์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยหนึ่ง ผมให้ความเห็นในที่สัมมนาไปว่า ความรู้ทางสังคมศาสตร์การแพทย์ที่ผมรับรู้อยู่ จะหนักไปในองค์ความรู้ระดับ “ความเข้าใจปรากฎการณ์” ที่ได้ช่วยคลี่คลายอธิบาย ปัญหาและเหตุของปัญหา ซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญและเป็นองค์ความรู้ที่เป็นจุดตั้งต้น แต่ความรู้ที่ผมเห็นว่ายังขาดอยู่ คือ ความรู้ในระดับ “หนทางแก้ไขปัญหา” ที่ไม่ใช่เพียงทิศทางกว้างๆ แต่ลงมาถึงระดับที่คำนึงถึงการจัดการกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากพอที่จะใช้ประยุกต์ในการขับเคลื่อนงานจริงได้ เพราะไม่เช่นนั้น องค์ความรู้จำนวนมากจากจุดตั้งต้น ก็จะหยุดชะงักกองอยู่แถวๆ “นิโรธ” บางเรื่องหยุดอยู่ตรงนั้นได้นับเป็นสิบๆปี นักมานุษยวิทยาที่ผมเคารพท่านหนึ่งเอ่ยค้านผมในที่สัมมนาทันที ทำนองว่า นั่นไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่นักวิจัยจะต้องรับผิดชอบ ถ้าชี้ทุกข์ สมุทัย (หรืออาจจะนิโรธบ้าง) ชัดแล้ว เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติควรไปหาทางต่อเอาเอง


นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ย้ำสิ่งที่ผมรับรู้ต่อเนื่องมาว่า สังคมวิชาการยังประเมินช่องว่างระหว่าง “นิโรธ” กับ “มรรค” น้อยเกินไปจริงๆ และจากประสบการณ์ที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับภาพรวมหลายเรื่องตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ผมยืนยันจากตัวอย่างจริงจำนวนมาก (ที่คงไม่มีพื้นที่พอจะเล่าในบทความนี้) ได้ว่า ช่องว่างตรงนี้เป็นหุบเหวกว้างลึก ที่ยังต้องการองค์ความรู้และสติปัญญาอีกมากมาใช้ในการทอดข้ามผ่านไปสู่การลดทุกข์ได้ ความรู้เหล่านี้จะสร้างจากไหน ? คำตอบส่วนหนึ่ง และอาจเป็นส่วนใหญ่ น่าจะอยู่กับพี่ๆน้องๆ “นักดับทุกข์” “นักสร้างสุข” ในทุกหนแห่ง ที่กำลังปฏิบัติงานสร้างสุขตัวจริงอยู่ในผู้ป่วย ในกลุ่มคน ในชุมชน หรือในสังคมไทยกันอยู่ บทเรียนที่อาจฝังอยู่ในตัวตน หรือที่ถอดออกมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งพูด ทั้งเขียน ฯ ล้วนมีความหมาย ถ้าช่วยกัน “จัดการความรู้” เอามาแลกเปลี่ยนกับคนอื่นและยกระดับมันขึ้นให้ลึกให้กว้าง เราก็คงจะได้ช่วยกันถมหุบเหวช่องว่างเหล่านั้นให้ค่อยๆลดลง


0 ความคิดเห็น: