วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เรื่องเล่าหมอฟันน้อย


โดย ทันตาภิบาล แอนนา แสบงบาล


ประสบการณ์จากมุมของทันตาภิบาล ที่ทำงานสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก มาตลอดระยะเวลา 25 ปี ของการมีอาชีพ “ รับราชการ ” ทุกครั้ง ที่ครบรอบวันเข้าทำงาน บรรจุเป็นข้าราชการ 4 กรกฎาคม ของทุกปี มักจะทำให้นึกถึง วันแรกที่เดินเข้าสสจ.เพื่อรายงานตัว ผู้เขียนเข้ามาพร้อมกับความรู้และประสบการณ์จากการเรียนในวิทยาลัย 2 ปี ด้วยความเชื่อมั่นในบางด้านและไม่เชื่อมั่นในอีกหลายด้าน แต่พร้อมที่จะทำงาน และพร้อมเผชิญกับทุกอย่าง เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เรียนมหาวิทยาลัย พวกเขากำลังจะขึ้นปี 3 แต่ผู้เขียนออกจากรั้วโรงเรียนเข้ามาสู่รั้วโรงพยาบาล ต้องลงมือทำงานกับคนและอยู่กับคน (เพื่อนร่วมงานและคนไข้) ดังคำพูดของใครบางคนเคยบอกว่า “ เราถูกทำให้สุกเร็วเกินไป ” ผู้เขียนเริ่มชีวิตการทำงานเมื่ออายุ 20 ปีครึ่ง

ในแต่ละวัน ในแต่ละปี ซึ่งดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ ถือว่า ถึงแม้จะเรียนมาเท่านี้ แต่ทุกย่างก้าวของชีวิต และเวลาที่ผ่านมาคือมหาวิทยาลัยชีวิต ที่ได้เรียนรู้ เพื่อการปรับตัว ปรับความคิด ปรับการทำงาน เป็นเส้นทางที่จำต้องแสวงหาและเลือกเผชิญ จำได้ว่า ชีวิตในโรงเรียนทันตา- ภิบาล รุ่นพี่สอนให้รู้ตั้งแต่วันแรกว่า “ ทางตัน ” ดูเหมือนว่าถ้อยคำสั้นๆคำนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างในใจมานับตั้งแต่บัดนั้น และพวกเราถือว่า “ เป็นความรู้สึกร่วม ” โดยไม่ต้องพูดออกมา

ด้วยความที่มีโอกาสได้เป็นผู้บุกเบิก เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะหมอฟันคนแรกของอำเภอ (หมอฟันน้อย) จึงทำให้มีความภาคภูมิใจและเป็นอิสระในการลงมือทำงานและวางแผนงานในระยะสั้นได้ ได้ก้าวออกไปติดต่องานกับส่วนราชการทางการศึกษา พัฒนาชุมชน เป็นการทำความรู้จักและได้รับความร่วมมือ ซึ่งจริงๆแล้วหน่วยงานต่างๆ เขารอหมอฟันทั้งใหญ่น้อย ก้าวออกไปหาเขาอยู่แล้ว ดังนั้นความร่วมมือในการทำงานจึงหาได้ไม่ยาก ต่อมามีเครื่องมือพร้อมที่จะทำฟัน จึงยิ่งทำให้ได้รับความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อไปประสานงานอบรม หรืองานนิทรรศการต่างๆ

พลังการทำงานที่เต็มเปี่ยม ประกอบกับความคิดดีที่อยากจะให้ผู้คนมีฟันดี ตามอุดมการณ์น้อยๆ จึงออกหน่วยเคลื่อนที่ในโรงเรียนทุกแห่งในอำเภอหมุนเวียนแต่ละอาทิตย์ตามที่ฟังมาจากรุ่นพี่ ก่อนตรวจ ถอน อุด ทุกครั้งจะจัดกิจกรรมสอนความรู้ เล่นเกมส์ ร้องเพลง จึงได้สร้างความสัมพันธ์กับเด็กๆ นอกเหนือจากคุณครู เผลอๆผู้ปกครองมายืนดูด้วย จึงได้สมาชิกเข้ามาอีก กิจกรรมเริ่มเข้มข้นขึ้น มีจัดสัปดาห์การรณรงค์ เดินพาเหรด ประกวดขบวน จัดประกวดโรงเรียน จัดอบรมครู อบรมผู้ดูแลเด็ก อบรมอสม. อบรมเจ้าหน้าที่สอ.(ให้ทำได้ทุกอย่าง) งานบริการรักษามุ่งให้แต่ละกลุ่มวัยเข้าถึงการบริการโดยวัดที่ความครอบคลุม จนปัจจุบันมีผู้รับบริการล้นมือหมอฟันใหญ่ หมอฟันน้อย จนต้องเปิดนอกเวลาและคิวยาวเป็นปี




ต่อมา กระแสการปฏิรูประบบสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ การให้ความสำคัญกับการสร้างสุขภาพมากกว่าการซ่อมสุขภาพ ดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในจิตใจผู้เขียน ทำให้คิดอยากทำอะไรสักอย่างขึ้นมา เปรียบเหมือน การมีดินที่ดี มีน้ำพอ มีปุ๋ยชีวภาพมาเสริม ตัวเราก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ได้ จึงจัดการอบรมมุ่งสู่การสร้างเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับทันต-บุคลากรจึงเกิดขึ้น เพื่อพัฒนาทันตบุคลากร เพื่อตอกย้ำความเป็นดาวทันตบุคลากรของน้องๆ เพื่อสร้างดาวดวงใหม่ขึ้นมาประดับวงการ มีหลายดวงกำลังส่องแสงวาบๆๆ ซึ่งต้องใช้เวลาบ่มเพาะมานานหลายปี กว่าจะได้ส่วนประกอบที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตเช่นนี้ แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่า การลงทุนพัฒนาคน เห็นผลเร็วถือว่าเกินคุ้ม เห็นผลช้าถือว่าคุ้ม สรุปว่าไม่ขาดทุน จึงต้องช่วยกันลงทุนเพื่อพัฒนาทันตบุคลากรกันต่อไป

ผู้เขียนเริ่มจากไม่ทราบว่าตนเองต้องมีวิสัยทัศน์งาน หรือวิสัยทัศน์ชีวิตที่ชัดเจน รู้แต่เพียงว่ามีความต้องการเรียนรู้และทำให้งานเติบโต ส่วนคำว่า “ ทางตัน ” ที่ค้างใจมานานนั้นพักเอาไว้ก่อน การที่ผู้เขียนได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น จากการเข้าประชุมทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในทางราชการนั้นมักจะมีโอกาสเข้าถึงน้อยกว่า จึงไปด้วยทุนตนเองหรือไม่ก็ขอไปเรียนรู้ การหาโอกาสพูดคุยกับผู้คนที่น่าสนใจ เก็บเอาความคิดแนวทางที่ดีๆ ซึ่งเก็บมาได้บ้างไม่ได้บ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เพราะทักษะการรับฟังอย่างลึกซึ้งยังไม่เกิด แต่ก็มีประโยชน์พอเติบโตมาถึงวันนี้ได้

เคยได้อ่านเอกสารการประชุมที่ชลบุรีหัวข้อของ คุณหมอเจน ทพญ.ศันสณี รัชชกูล (ศูนย์ทันตฯระหว่างประเทศเชียงใหม่) ท่านได้พูดถึงการปรับกระบวนทัศน์และได้ให้นิยามของคำว่า “ กระบวนทัศน์คืออะไร ” จากตรงนี้เองทำให้ผู้เขียนมีคำถาม ถามว่า “ ถ้าเราจะปรับกระบวนทัศน์ของตนเองและคนอื่น ในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ต้องทำอย่างไร ” ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนเคยสับสนระหว่างความแตกต่างของความคิดระหว่างบุคคล ความคิดของเขาที่ต่างจากเราจนทำให้เกิดความเครียด ทำให้งานสะดุด ไปต่อไม่ได้ (แล้วทำไงต่อล่ะ) ผู้เขียนจึงมุ่งหวังถึงการมีทีมงานทันตบุคลากรที่พูดคุยไปกันได้ ซึ่งถึงแม้จะคิดต่างแต่ก็ลงตัว

เมื่อโอกาสดีๆในชีวิตการทำงานมาถึง เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะได้คำตอบเรื่องของการปรับกระบวนทัศน์ โดย อ.ทพ.อุทัยวรรณ กาญจนกามล , อ.ทพ.ทรงวุฒิ ตวงรัตนพันธ์ , อ.ทพ.วิชัย วิวัฒน์คุณูปการ , อ.ทพ.อติศักดิ์ จึงพัฒนาวดี มาชวนคิด ชวนคุย กับกลุ่มทันตบุคลากรในประเด็นการทำงานสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก มาจุดประกายความคิด จากนั้นก็ได้ไปค้นเอกสาร ทฤษฎีต่างๆ รวบรวมมาปึ๊งใหญ่ๆ เช่นทฤษฎีใหม่ทางการแพทย์ สุขภาพกับสังคม ประชาสังคมที่ดี เพื่อเอาประกอบกับการประชุมพูดคุยกับอาจารย์คราวถัดไป ต่อมาเมื่อทันตบุคลากรกาฬสินธุ์มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน จึงได้ทำหลักสูตรเพื่อจัดอบรมพัฒนาศักยภาพ และทักษะการศึกษาชุมชนขึ้นมา โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมนอกเหนือจากทันตบุคลากรคือ นักวิชาการสาธารณสุข ครูผู้ดูแลเด็ก และปลัด อบต.เข้าอบรมอาชีพละคน พบว่าผู้ขับเคลื่อนงานสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในเวลาต่อมา คือ “ ครูผู้ดูแลเด็ก ”





เนื่องจากโครงการถูกออกแบบมาให้ทำ 2 ระยะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง(เรียนรู้มากกว่ารับรู้) ต่อมามีเวทีใหญ่เพื่อนำเสนอผลการทำงาน และมีเวทีซ้อน ขึ้นมาอีก เพื่อแสดงผลงานระหว่างทันตาภิบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งตัวแทนจากใต้ เหนือ และภาคกลาง สังกัดกทม. จึงเกิดกระแสสร้างเสริมสุขภาพช่องปากในแวดวงของทันตาภิบาลมากขึ้น ถือว่า “ เราเป็นส่วนหนึ่ง ” ของ ทันตสาธารณสุข และแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนก็คือ สสส.ภายใต้เครือข่ายทันตบุคลากรไทยสร้างเสริมสุขภาพ เป็นพี่เลี้ยงดำเนินกิจกรรม

ความสำเร็จเล็กๆของการอบรม (ถ้ามองเชิงพื้นที่) แต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึก ก็คือ “ ผู้ดูแลเด็ก ” ที่เข้าร่วมการอบรม สามารถที่จะทำโครงการรณรงค์ส่งเสริมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กปฐมวัยได้เอง โดยร่วมกับครูในศูนย์เดียวกันและศูนย์อื่นๆ ร่วมกับชุมชน ผลักดันให้เป็นข้อบัญญัติของอบต. (ข้อบัญญัติของอบต.คือ มีแผนสนับสนุนงบประมาณการดูแลสุขภาพช่องปากในศูนย์เด็กทุกแห่งในตำบลเหล่าใหญ่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ) มีการจัดกิจกรรมต่างๆอาทิเช่น บูรณาการกิจกรรมหน้าเสาธงกับพฤติกรรมการกินผลไม้ โดยการให้ความสำคัญเด็กผู้เชิญธง เด็กที่นำผลไม้จากบ้านมาทานที่ศูนย์เด็กจะได้รับเลือกไปเชิญธง เป็นรางวัลเด็กดีมีพฤติกรรมทานผลไม้ เด็กคนอื่นอยากเชิญธงก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาทานผลไม้บ้าง เป็นอุบายง่ายๆ ในการปลูกฝังนิสัย บ่มเพาะความคิดเด็กผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ในหลายกิจกรรม การเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กเห็นและเด็กเอาอย่าง การจัดอบรมผู้ปกครอง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้เห็นถึงความเป็นไปได้ และเกิดความเชื่อมั่น ตลอดทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับที่อื่นๆได้ ครูผู้ดูแลเด็กเองก็เป็นที่รู้จักของใครๆมากขึ้นหรือแม้กระทั่งผู้ดูแลเด็กด้วยกันเอง

ผู้เขียนคิดว่า สิ่งที่ตรงใจใช่เลย คือเมื่อได้ฟังครูศูนย์พูดว่า “ครูศูนย์เด็กฯ มีทุกข์ ปวดหัวมากๆเมื่อมีเด็กสักคนปวดฟันขึ้นมา เพราะเด็กคนนั้นจะร้องไห้เกือบทั้งวันและทำให้เด็กคนอื่นๆร้องไห้ตามไปด้วย” ประเด็นสำคัญคือ เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างครูศูนย์ฯ (ที่มีอยู่น้อยนิด) กับเด็กๆที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในแต่ละวัน และเป็นความทุกข์เรื่องเดียวกันกับหมอฟันที่ต้องการให้เด็กฟันดี ครูเอ่ยต่ออีกว่า “ ปีหนึ่ง หมอฟันก็ออกมาตรวจฟัน 1 วัน ส่วนใหญ่เด็กฟันผุหมดแล้ว ” ครูศูนย์เด็กจึงทำประชาคมในผู้ปกครองเด็ก จนนำมาซึ่งกติการ่วมกันว่า “ ศูนย์เด็กปลอดขนมหวาน ” การจัดรายการอาหารที่เน้นธัญพืชในท้องถิ่นตามฤดูกาล การสนับสนุนให้ผู้ปกครองปลูกต้นกล้วยเติมท้องให้อิ่มแทนการกินขนม หรือแม้กระทั่งทำข้าวต้มมัดมาเผื่อแผ่แบ่งปันกัน




ความโชคดี อีกเรื่อง เมื่อเป็นทันตบุคลากรที่ทำงานหลายด้าน โลกทัศน์เปิด ได้มีโอกาสเห็นของจริง (ได้ทำความเข้าใจกับคำว่าบูรณาการโครงการ / กิจกรรม / คน / เงิน / งาน) เมื่อเรี่องสุขภาพเริ่มต้นที่ครอบครัว แต่เราทำกิจกรรมที่ศูนย์เด็กฯ โดยผู้ดูแลเด็กเก็บข้อมูลการกินขนมเด็กจากครอบครัวภายใต้ ชื่อบัญชีชีวิตและจัดเวทีคืนข้อมูลให้ชุมชน ได้ทำให้เห็นความงอกเงยพร้อมกับความงดงามของงาน แล้วจัดเวทีรู้เท่าทันการบริโภคต่อไป เมื่อถึงวันนี้ ผู้เขียนเองยังต้องพัฒนาตนเองต่อไปเพื่อพัฒนางาน พัฒนาเครือข่าย โดยไม่ต้องเรียกร้องรอคอย ว่าให้เรื่องเหล่านี้เป็นนโยบายที่สั่งจากข้างบนลงมาแล้วจึงค่อยทำ แต่เรายังรอทันตแพทย์ ทันตาภิบาล ที่กล้าแหวก วงล้อมของเวลางานซ่อมตามตัวชี้วัด หรืองานสร้างสุขภาพช่องปากที่วัดได้ในบางอย่าง แต่ยังไม่วัดในสิ่งที่ควรวัดหลายอย่าง

เรารอไม่ได้เพราะมันช้ามานานมากแล้ว อย่างน้อยเราควรจะได้เรียนรู้จากการลงมือทำ ลงมือพัฒนา ที่เริ่มจากความคิดใหม่ๆจากตัวของเราเอง


0 ความคิดเห็น: