วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เรื่องของรัตน์ : เรารักในหลวง





“ สวยจังเลยนะหมอ ” รัตน์อุทานออกมาเมื่อเห็นภาพพระเมรุยามค่ำคืน เมื่อหันไปมองก็เห็นหมอจ๋อมกำลังนอนเอนดูทีวี มือก็หยิบขนมกินไปด้วยตลอด
“ อืม ใช่ หมอเคยเห็นพระเมรุมาสองงาน ดูแล้วงานนี้สวยสุดเลย ” หมอจ๋อมหายเงียบไปสักพัก เพื่อเคี้ยวขนมให้หมดปาก ก่อนที่จะตอบ
“ แต่ถึงสวยยังไง รัตน์ก็ไม่อยากเห็นอีกนะหมอ ”
“ ใช่ หมอเองก็ไม่อยากเห็นแล้วเห็นพอแล้วนะรัตน์ ”






วันนี้เป็นวันพระราชทานเพลิงพระศพพระพี่นาง โรงพยาบาลเอาทีวีเครื่องใหญ่มาตั้งในห้องประชุม เพื่อให้เจ้าหน้าที่และชาวบ้านได้ชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีนี้ รัตน์เลยขี่รถจากบ้านพักมาดูที่โรงพยาบาล เพราะทีวีเครื่องใหญ่กว่า มีคนมานั่งๆ นอนๆดูกันหลายคน รวมถึงผอ.ด้วย

“ เดี๋ยวก็ใกล้เวลาเสด็จมาเผาจริงแล้วสิ เศร้าเนอะ ”
“ ใช่ แค่เห็นตอนเผาหลอก หมอก็เศร้าจะแย่อยู่แล้ว นี่จะร้องไห้ไหมเนี่ย ”
“ เจ้าจ๋อม ถ้าแกร้องไห้ ห้ามเอามือเช็ดน้ำตาเชียวนะ มือเลอะขนมหมดแล้ว นี่ตั้งแต่ขบวนแห่พระโกศ พี่ยังไม่เห็นจ๋อมหยุดปากเลยนะเนี่ย ขนมหมดอำเภอแล้วมั้งเนี่ย ” หมอตุ้ย ผอ.โรงพยาบาลเอ่ยปากแซว เรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งห้องประชุม





“ โธ่ พี่ตุ้ยก็ จ๋อมกินเพื่อไม่ให้เศร้าน่ะ ” หมอจ๋อมกล่าวแก้เขิน มือก็เอื้อมหยิบขนมใส่ปาก
“ เสด็จแล้ว เสด็จแล้ว เงียบๆเลยทุกคน ตั้งใจดูเร็ว ” หมอตุ้ยเอ่ยปาก เสียงหัวเราะในห้องประชุมเงียบลง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่จอทีวี ภาพพระราชพิธีดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเสด็จพระราชดำเนินกลับ บรรยากาศในห้องประชุมยังคงเงียบ รัตน์หันไปมองหมอจ๋อม แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นหมอจ๋อมนั่งเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“ เป็นไรไปคะหมอ ” เสียงทักของรัตน์ทำให้คนอื่นๆหันมามองหมอจ๋อม
“ อ้าว อินมากเหรอจ๋อม ” หมอตุ้ยลุกมาส่งกระดาษทิชชูให้
“ เช็ดน้ำตาซะ ไม่อายเขาเหรอ ” หมอจ๋อมรับกระดาษมาเช็ดน้ำตา






“ จ๋อมไม่ได้ร้องไห้เพราะอินหรอกพี่ตุ้ย แต่จ๋อมเห็นในหลวง พี่ตุ้ยเห็นไหม ท่านจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว ”
“ อืม เห็น ” หมอตุ้ยหน้าขรึมลงทันที นั่งลงตบไหล่หมอจ๋อมเบาๆ
“ หมอคะ ทำไมในหลวงท่านถึงไม่ค่อยแข็งแรงเลยนะ พ่อใหญ่ แม่ใหญ่บ้านเราอายุแปดสิบกว่า ยังเดินเหินสบายๆ นี่ขนาดทำงานหนักมาตลอดชีวิตนะคะ ” รัตน์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะรัตน์เองก็ติดตามข่าวของในหลวงมาตลอด ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้สึกว่าท่านไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก



“ นั่นไงรัตน์ รัตน์เห็นใช่ไหม รัตน์ว่าปู่ย่าตายายเราทำงานหนักมาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้แม้ท่านจะอายุเยอะ แก่กว่า ในหลวง แต่รัตน์ก็เห็นอยู่ว่าท่านก็ดูยังแข็งแรงมากกว่า แล้วรัตน์คิดดูสิว่ารัตน์เห็นในหลวงท่านแข็งแรงแบบเนี้ย รัตน์คิดว่าท่านทำงานหนักมามากกว่าปู่ย่าตายายเราที่เราเห็นเท่าไหร่ ”
“ ท่านทำงานหนักด้วยหรือคะหมอ รัตน์ไม่ค่อยเห็นแล้วน่ะค่ะ นานๆจะเห็นท่านในข่าวสักที ”
“ เด็กรุ่นใหม่ก็แบบนี้แหละจ๋อม ไม่ค่อยได้เห็นภาพอย่างที่เราเห็น บ้านเมืองมันถึงเป็นแบบนี้ไงล่ะ ยิ่งตามต่างจังหวัดนะ ชาวบ้านเขาไม่ค่อยดูข่าวกันหรอก จ๋อมก็เห็นอยู่ ”






รัตน์รู้สึกอายขึ้นมาทันที เพราะรัตน์เองก็เป็นอย่างที่หมอตุ้ยพูด ไม่แต่รัตน์เอง ส่วนใหญ่ที่รัตน์รู้จักก็มักจะมีวิถีชีวิตแบบนี้ทั้งนั้น เลิกงาน เลิกเรียนมาก็เล่นจนค่ำ กลับบ้านอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลา มานั่งรอดูละคร ส่วนใหญ่เวลาข่าว เป็นเวลาที่จะไปทำธุระส่วนตัว เช่น อาบน้ำ รัตน์ดูข่าวน้อยมาก หนังสือพิมพ์ก็ไม่อ่าน อ่านแต่หนังสือดารา หนังสือละคร เพื่อที่จะได้ดูละครสนุกขึ้น ถ้าเป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่กลับบ้านมาก็ตั้งวงกินเหล้า ทีวีแทบจะไม่เคยดู ข่าวสารเรื่องราวต่างๆก็คอยรับฟังจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเอา หรือบางทีก็เป็นส.ส.ที่มาคอยบอกว่าตอนนี้รัฐบาลมีโน่นมีนี่มาให้





“ อ้าว แต่ถึงไม่ได้ดูข่าว แต่ก็ต้องมีคนเคยได้เห็นท่านเสด็จมาทำอะไรให้ชาวบ้านบ้างนะพี่ตุ้ย เหมือนที่เราเห็นไง จ๋อมจำได้เลยนะ ยิ่งภาคเหนือกับภาคอีสานน่ะ จ๋อมว่าท่านเสด็จมาทำอะไรให้ตั้งเยอะแน่ะ ทำไมลืมกันหมดเลย ”
“ จ๋อมอย่าลืมนะ เขาเห็นท่านมาที่บ้านเขา ปีหนึ่งอาจจะแค่ไม่กี่วัน ไม่เหมือนเราที่เห็นจากข่าวว่าท่านเสด็จไปแทบจะทุกที่ในประเทศไทย สมมติว่าท่านเสด็จไปจังหวัดละสามสี่วัน ลองเอาจำนวนวันคูณจำนวนจังหวัดในประเทศไทย แปลว่าท่านแทบจะต้องทำงานเดินทางไปโน่นมานี่เกือบทั้งปีเลยนะ นี่คิดว่าจังหวัดนึงท่านไปแค่ที่เดียว แต่เอาจริงบางครั้งวันนึงท่านเสด็จไปตั้งหลายที่ ชาวบ้านก็คิดแต่ว่าท่านมาอยู่ มาแค่สองสามชั่วโมงก็ไปแล้ว เพราะเขาไม่ดูข่าวไง แต่เราดูเราเห็นอยู่ บางทีวันนึงท่านไปตั้งสามสี่ที่ เสด็จตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ แถมบางวันพอเสร็จงานจากจังหวัดนี้ ท่านก็เสด็จไปจังหวัดอื่นต่อเลย แค่เดินทางก็เหนื่อยแทนท่านแล้ว ”

หมอตุ้ยพูดถึงตอนนี้ ทุกคนในห้องประชุมต่างพากันมานั่งล้อมวงฟังอย่างตั้งใจ “ เอ้า หมอถามหน่อย คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ มีกี่คนที่จะเคยเห็นหรือรับรู้ว่าในหลวงท่านทำอะไรบ้าง ” หมอตุ้ยเอ่ยถาม เมื่อเห็นคนสนใจ มีคนพยายามตอบมาบ้าง เช่น พระราชทานปริญญา ฯลฯ

“ รู้ไหมว่าท่านทำมากกว่าที่เราเห็นเยอะ หมอชอบดูข่าวในพระราชสำนักมากเลยนะเมื่อก่อน ดูแล้วก็คิดว่าท่านทำได้ไง เป็นพระมหากษัตริย์ไม่เห็นสบายเลย เราเป็นประชาชนคนธรรมดา สบายกว่าเยอะ ในหนึ่งปีเนี่ยนะ ท่านจะเสด็จไปแทบจะทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ท่านจะเสด็จเวียนไปทั้งปี ประทับอยู่ภาคเหนือสามเดือน ภาคอีสานสามเดือน ภาคใต้สามเดือน ภาคกลางอีก




ท่านจะเสด็จไปในที่ที่ทุรกันดาร บางทีดูแล้วเรายังว่า จ้างให้เราไปเรายังไม่อยากไป ท่านขึ้นเขาลงห้วย ไปทุกที่ที่ลำบาก เพื่อที่จะไปทำโครงการพระราชดำริ ซึ่งจะเฉพาะตามแต่ละพื้นที่ โดยท่านมีจุดมุ่งหมายให้ชาวบ้าน ประชาชนของท่าน สามารถทำกิน ช่วยเหลือตัวเองได้ แม้ว่าท่านจะเสด็จกลับแล้ว หรือความช่วยเหลือไม่มีแล้ว แต่ชาวบ้านก็สามารถทำมาหากินด้วยตัวเอง พึ่งตัวเองได้ นี่เป็นจุดมุ่งหมายหลักของโครงการในพระราชดำริ ”




“ จ๋อมจำได้พี่ตุ้ย เคยเห็นภาพในหลวงท่านเสด็จไปในป่า ฝนตก เปียกแฉะ ท่านก็เสด็จไปทรงงานจนมืดจนค่ำ บางทีก็เห็นท่านเสด็จขึ้นเขาขึ้นดอย จ๋อมเคยไปเดินป่า เดินขึ้นดอย แค่ไม่นานก็ปวดเข่า ปวดขา เมื่อยจะแย่ แต่นี่ท่านเสด็จแทบไม่เว้นแต่ละวัน จ๋อมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเข่าท่านถึงเสื่อมเร็วขนาดนี้ ท่านใช้พระวรกายของท่านมากเกินไป เกินกว่ากำลังคนธรรมดาจะรับไหว แล้วท่านทำเพื่อใครล่ะพี่ตุ้ย ท่านทำเพื่อพวกเราประชาชนของท่านแท้ๆ ทำไมคนที่ท่านทำอะไรให้มากมาย ถึงไม่จดจำในสิ่งที่ท่านทำเลย กลับมาหลงใหลได้ปลื้มกับโครงการโยนเงินแจกชั่วครั้งชั่วคราว จ๋อมไม่เข้าใจจริงๆนะพี่ตุ้ย ” หมอจ๋อมยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งสั่นเครือ จนแทบจะสะอื้นในตอนท้าย





“ พี่ไม่แปลกใจหรอกจ๋อม ชาวบ้านเขาก็ชอบความสบายมากกว่าสิ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเหนื่อยทำงานก็มีคนเอาเงินมาให้ใช้ ได้ซื้อโน่นซื้อนี่ ซื้อทีวี ซื้อมือถือใหม่ๆ ซื้อรถขับ แต่ไม่ได้รู้เลยว่าเงินที่เขาเอามาให้ มันก็เงินของพวกเราเอง เป็นเงินที่พวกเราเสียภาษีไปทุกปี ของที่เขาเอามาขายให้เราซื้อ ก็เป็นของของเขาเอง เขามันได้ทั้งสองต่อ เหมือนกับจ๋อมเอาเงินมาฝากพี่ไว้ พอถึงเวลา พี่ก็เอาเงินที่จ๋อมฝากจนลืมนั่นแหละมาให้จ๋อม พร้อมกับเอาของที่บริษัทพี่ขายเอามาขายด้วย จ๋อมก็รู้สึกว่าพี่มีบุญคุณ เอาเงินมาให้ พี่เองได้ประโยชน์สองต่อ ได้จ๋อมมาบูชาพี่ แล้วพี่ก็ได้ขายจองด้วย ไม่เสียอะไรสักอย่าง ”




“ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ในหลวงท่านทำให้ใช่ไหมพี่ตุ้ย ในหลวงท่านให้ที่ทำมาหากิน ท่านแก้ไขปัญหาของพื้นที่ให้สามารถทำมาหากินได้ แต่ชาวบ้านต้องเหนื่อยทำเอง เทียบกับการที่มีคนเอาเงินมาให้เลย ไม่ต้องเสียแรง แต่ไม่คิดล่ะพี่ตุ้ย ว่าสิ่งที่ในหลวงท่านทรงให้น่ะ มันจะคงอยู่ไปชั่วลูกชั่วหลานเลยนะ ใช้ทำมาหากินได้ตลอดเลย แต่แบบที่เขาเอาเงินมาโยนให้เนี่ยสิ ชาวบ้านงอมืองอเท้าไม่ทำมาหากิน รอเขาโยนเศษเนื้อมาให้ เมื่อไหร่ที่เขาเลิกโยน ก็อดตาย พึ่งตัวเองไม่ได้ จ๋อมเข้าใจแล้วพี่ตุ้ย ”

“ หมอคะ ในหลวงท่านทำอะไรเยอะขนาดนั้นเลยหรือคะหมอ รัตน์ไม่เคยรู้เลย”
“เยอะสิรัตน์ เยอะมากๆ ท่านทำเพื่อประชาชนเยอะจนหมอเคยคิดว่า ต่อให้หมอเกิดมาสักสิบชาติ หมอยังอาจจะทำอะไรเพื่อแผ่นดิน เพื่อประเทศชาติได้ไม่เท่าที่ในหลวงทรงทำมาตลอดระยะเวลาเท่าที่หมอเห็น และจำความได้เลยนะรัตน์ รัตน์รู้ไหม หมอเป็นคนกรุงเทพฯเองเนี่ยนะ ยังเคยคิดอิจฉาคนต่างจังหวัดอย่างรัตน์เลย ว่ามีโอกาศได้เฝ้าในหลวงมากกว่าหมออีก เพราะท่านประทับในเมืองหลวงปีละไม่เท่าไหร่เอง แถมเวลาได้เข้าเฝ้ายังได้เฝ้าอย่างใกล้ชิดเลย ทีละนานๆด้วย บางครั้งท่านประทับรับสั่งถามข้อมูลจากชาวบ้านทีเป็นชั่วโมงๆ เพราะบางครั้งท่านเสด็จเข้ามาถึงบ้านชาวบ้าน บ้านชาวเขาบนดอย ท่านยังเสด็จไปเลย คนต่างจังหวัดได้เฝ้าขนาดนี้เลยนะ คนกรุงอย่างหมอส่วนใหญ่ได้เข้าเฝ้าในงานพระราชพิธี ครั้งนึงแป๊บๆ หมอเองเฝ้าใกล้ชิดสุดก็ตอนรับพระราชทานปริญญา เห็นท่านนานจริง แต่เห็นไกลๆ ได้ยินเสียงท่านจริงแต่เป็นทางการ ไม่เคยได้ยินท่านถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนชาวบ้านหรอก”





“ พี่จำได้นะจ๋อม เมื่อครั้งที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ พี่ไปเที่ยวกับเพื่อนเสร็จกำลังจะกลับบ้าน สักประมาณตีสองได้ ขับรถกลับ เห็นไฟสว่าง ตำรวจเต็ม ยังคิดอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ดึกขนาดนี้ ฝนก็ตกพรำๆ คิดว่ามีอุบัติเหตุ เลยจอดรถลงไปดูเผื่อช่วยอะไรได้ จ๋อมรู้ไหมว่าพี่เห็นอะไร พี่เห็นในหลวงท่านกำลังถือแผนที่ ยืนดูประตูระบายน้ำอยู่ท่ามกลางสายฝนตอนตีสอง ตอนที่พี่เพิ่งกลับจากผับ ไม่รู้ว่าท่านประทับอยู่นานแค่ไหนแล้ว แต่ในขณะที่พี่กำลังกินเหล้าฟังเพลงอยู่ หรือคนอื่นๆกำลังนอนหลับอย่างสบายในที่นอนนุ่มๆอุ่นๆอยู่ ในหลวงของเราท่านกลับมายืนตากฝน หาทางช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมให้พวกเรา พี่แทบจะหายเมาเลยนะจ๋อม ยิ่งพอกลับไปถึงบ้าน ทุกคนในบ้านพี่หลับสบายกันหมดแล้ว สิ่งที่พี่พบเจอในวันนั้นเป็นจุดที่ทำให้พี่ตั้งใจว่า พอเรียนจบ พี่ขอเป็น ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอทำความดีเพื่อประเทศชาติให้ได้แม้สักเศษเสี้ยวของที่ท่านทำก็ยังดี เพื่อเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณที่ท่านทำเพื่อพวกเรา ”

รัตน์ได้ฟังก็ถึงบางอ้อ มิน่า หมอตุ้ยมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แกเรียนจบ พี่ๆเล่าว่าหมอตุ้ยตั้งใจเลือกมาที่นี่ โรงพยาบาลเล็กๆ ในอำเภอที่แสนจะห่างไกลจากความเจริญ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตลอด ไม่เคยคิดขอย้ายไปไหน ตั้งใจทำงาน พัฒนาโรงพยาบาลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดหนื่อย
“ จ๋อมก็เหมือนพี่ตุ้ยนั่นแหละ จ๋อมรู้สึกว่าจ๋อมโชคดีมากๆ ที่เกิดมาเป็นข้ารองพระบาทของท่าน ภูมิใจที่เป็นข้าราชการของในหลวง แม้เงินเดือนจะน้อยนิด อยู่ห่างไกลความเจริญ จ๋อมก็พยายามทำให้ดีที่สุด ไม่รู้ว่าจ๋อมทำงานจนเกษียณ จะยังเหนื่อยหรือทำอะไรได้มากเท่าที่ในหลวงทำหรือเปล่า ยิ่งเห็นท่านวันนี้นะพี่ตุ้ย ท่านเศร้านะ หมดแล้วครอบครัวท่านที่เคยสนุก เคยทุกข์ร่วมกันมา พี่สาวคนเดียวแถมตอนนี้ ท่านยังขาดกำลังพระทัยอย่างแรงอีกด้วยนะ ”





หมอจ๋อมพูดไปก็น้ำตาไหลไป แต่หนนี้ไม่ใช่แต่หมอจ๋อมเท่านั้น รัตน์หันไปมองคนอื่นๆในห้องประชุม ก็เห็นน้ำตาคลอ บางคนหยิบกระดาษมาเช็ดน้ำตากันป้อยๆ ไม่เว้นแม้แต่รัตน์เอง สิ่งที่รัตน์คิดในใจตอนนี้ พรุ่งนี้ รัตน์จะไปค้นหาข่าวเก่าๆ ที่เกี่ยวกับในหลวงมาอ่านมาดูซะหน่อย แล้วรัตน์ก็จะตั้งใจทำงานตามความสามารถอย่างสุดกำลังเพื่อพระองค์ท่าน ให้เหมือนที่หมอตุ้ย หมอจ๋อมตั้งปณิธานไว้ รัตน์อาจจะไม่ซาบซึ้งเท่าหมอจ๋อม เพราะรัตน์ไม่เคยเห็นภาพเหล่านั้นมาก่อน แต่เท่าที่ฟัง รัตน์ก็รู้สึกว่า รัตน์ภูมิใจที่เกิดมาในประเทศที่มีในหลวงพระองค์นี้ แล้วรัตน์ก็พร้อมที่จะเป็นพสกนิกรที่ดีของพระองค์ท่าน จริงอย่างที่หมอตุ้ย หมอจ๋อมว่า รัตน์จะไปหลงใหลได้ปลื้มกับคนที่มันเอาเงินภาษีของเรามาโยนล่อเราทำไม มันสอนให้เรางอมืองอเท้า รอความช่วยเหลือจากมันจนเราง่อยเปลี้ยเสียขา จนต่อไปเราจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รัตน์นึกถึงภาพสัตว์ที่ถูกขัง มีคนคอยให้อาหาร แล้วก็สั่งให้ทำโน่นทำนี่ทำก่อนถึงจะได้รางวัลเป็นของกิน ถ้าไม่ยอมทำก็ไม่ได้กิน จะให้ทำอะไรแปลกๆที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ วันไหนเขาไม่ให้อาหาร สัตว์ก็อดตาย รัตน์ไม่อยากเป็นสัตว์เลี้ยงของใคร แต่ขอเป็นข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัตน์รู้สึกรักในหลวงขึ้นมาอย่างจับใจ


ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

0 ความคิดเห็น: