คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“การส่งเสริมสุขภาพ” เป็นกระแสที่จัดได้ว่า “มาแรง” ในวงการสาธารณสุขไทยอย่างน้อยก็ในราว 10 ปีมานี้ อย่างไรก็ดี แนวคิดเรื่อง “การส่งเสริมสุขภาพ” นั้น ได้ถูกให้ความหมาย ถูกเข้าใจ และถูกนำไปปฏิบัติในรูปแบบ และทิศทางที่แตกต่างหลากหลาย หากไปเปิดอ่านตำราไม่ว่าจะเป็นของเทศหรือไทย จะพบได้ว่า “การส่งเสริมสุขภาพ” ในตำราแต่ละเล่มนั้นมีความแตกต่างกันชนิดที่บางครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของคำว่า “การส่งเสริมสุขภาพ” คำเดียวกันได้อย่างไร แนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดหนึ่งที่คน ต่างคน ต่างภูมิหลัง ต่างประสบการณ์ อาจจะมีความเข้าใจในทิศทางที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงและก็มิอาจฟันธงตัดสินได้ว่า ความหมาย ความเข้าใจ และวิธีปฏิบัติแบบไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากน้อยกว่ากัน
บทความนี้จึงเป็นเพียงการเสนอแนวทางหนึ่งของการให้ความหมาย การทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่า “การส่งเสริมสุขภาพ” ซึ่งเป็นแนวทางที่ภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตกผลึกมาจากการเรียนรู้ในช่วงเวลาหนึ่ง และต้องเน้นย้ำว่าบทความนี้ไม่ได้ต้องการเสนอว่า “เนื้อหาในบทความนี้เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องที่สุดของ “การส่งเสริมสุขภาพ” ส่วนคำอธิบายอื่นนับว่าใช้ไม่ได้เสียทั้งหมด” แต่เป็นเพียง “การเสนอแนวทางหนึ่งในการทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่าการส่งเสริมสุขภาพ” เท่านั้นเอง
สิ่งที่ “ เรียก” และ “ ไม่เรียก” ว่าการส่งเสริมสุขภาพ
งาน “ส่งเสริมสุขภาพ” เป็นงานที่โดยทั่วไปเรามักเรียกรวมกันอย่างลำลองว่างาน “ส่งเสริมป้องกัน” และหากถามทันตบุคลากรว่าเคยมีประสบการณ์ในการทำงานส่งเสริมสุขภาพอะไรกันมาบ้าง คำตอบที่จะได้รับคงวนเวียนอยู่แถวๆ “เคลือบหลุมร่องฟัน” “สอนแปรงฟัน” “ให้ทันตสุขศึกษา” “งานเฝ้าระวังฯ” ฯลฯ หรือถ้าตั้งคำถามเดียวกันกับบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆคำตอบที่ได้รับคงจะได้แก่ “การฝากครรภ์” “เยี่ยมบ้าน” “ฉีดวัคซีนเด็ก” “กำจัดลูกน้ำยุงลาย” ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะมิใช่การส่งเสริมสุขภาพตามแนวคิดที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ เพราะเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น แล้วการส่งเสริมสุขภาพคืออะไรกันแน่
ก่อนที่จะอธิบายเหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่เรียกงานที่กล่าวมาข้างต้นว่าเป็นการส่งเสริมสุขภาพ คงต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจก่อนว่า “การส่งเสริมสุขภาพ” กับ “การป้องกันโรค” นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร

ภาพที่ 1 แผนภูมิแสดงความแตกต่างระหว่างการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค (ดัดแปลงจาก Brown, 1985 อ้างถึงใน ศศิธร ไชยประสิทธิ์. 2544: 60)
หากมองอย่างผิวเผินอาจบอกได้ไม่แน่ชัดนักว่าการส่งเสริมสุขภาพกับการป้องกันโรคนั้นต่างกันอย่างไร แต่หากพิจารณาจากแผนภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าการป้องกันโรคแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ โดยในระดับเบื้องต้นหรือปฐมภูมิจะมุ่งเน้นไปที่การลดหรือการขจัดปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค ซึ่งการป้องกันโรคในระดับนี้ไม่มีความต่างจากการส่งเสริมสุขภาพในระดับปฐมภูมิซึ่งก็มุ่งเน้นไปที่ประเด็นเดียวกันคือการลดหรือการขจัดปัจจัยเสี่ยง แต่หากพิจารณาในระดับขั้นต่อๆไปจะเห็นได้ว่าการป้องกันโรคจะมุ่งเน้นไปสู่เป้าหมายคือการทำให้โรคลดลงหรือการทำให้ปราศจากโรค (ซึ่งนอกจากจะทำได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงก่อนที่จะเกิดโรคแล้ว เมื่อมีโรคเกิดขึ้นก็จะต้องทำการวินิจฉัยให้ได้แต่เนิ่นๆและทำการรักษาทันที และหากโรคลุกลามจนเกิดการสูญเสียอวัยวะหรือพิการก็ต้องทำการฟื้นฟูสภาพให้กลับมาใช้งานได้ปกติ) ส่วนการส่งเสริมสุขภาพจะมุ่งเน้นไปสู่การมีสุขภาพดีผ่านการลดปัจจัยเสี่ยง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมและชุมชนให้ดีขึ้น
จากจุดเริ่มต้นที่เหมือนกัน (คือการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคระดับปฐมภูมิ) แต่เป้าหมายปลายทางกลับแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะการไม่มีโรคหรือการปราศจากโรคนั้นมิใช่สิ่งเดียวกับการมีสุขภาพดี และสุขภาพดีนั้นก็มิจำเป็นต้องเป็นจะต้องปราศจากโรคแต่อย่างใด การมีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บใดๆก็มิได้เป็นสิ่งเดียวกับการมีสุขภาพดี แต่การที่จะมีสุขภาพที่ดีหรือมีสุขภาวะนั้นยังมีเงื่อนไขอื่นอีกมากมายที่เป็นตัวกำหนดไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สังคม และสภาพแวดล้อมที่คนผู้นั้นอาศัยอยู่ หรือความพึงพอใจและมุมมองที่คนแต่ละคนจะมีต่อชีวิตและสุขภาพของตนเอง ในแง่นี้ ถึงแม้ใครสักคนที่มีการติดเชื้อ HIV หรือมีมะเร็งเนื้อร้ายอยู่ในร่างกาย ก็ยังคงอาจนับว่ามีสุขภาพที่ดีหรือมีสุขภาวะที่ดีได้หากเขาหรือเธอมีชีวิตที่ปกติสุข ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม สังคม ครอบครัวที่ดี และมีความพึงพอใจกับสุขภาพและชีวิตของตนเอง
ในแง่นี้ “การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน” และ “การเปลี่ยนแปลงสังคมและชุมชนให้ดีขึ้น” เพื่อมุ่งหวังการมีสุขภาพดีจึงเป็นทั้งทิศทางและเป้าหมายที่ทำให้การส่งเสริมสุขภาพแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากการป้องกันโรคที่มีเป้าหมายอยู่ที่การลดโรคเป็นสำคัญ และข้อแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการป้องกันโรคนั้น มุ่งเน้นการทำงานในกรอบความคิดเรื่องโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและต้องพึ่งพาความรู้เฉพาะทางการแพทย์พื้นที่การทำงานในเรื่องของโรคจึงเป็นพื้นที่ปิดและแยกบุคลากรสาธารณสุขและประชาชนออกจากกันด้วยการขีดเส้นแบ่งแดนระหว่างความเป็น “ผู้รู้” และ “ผู้ไม่รู้” ด้วยเส้นที่ถูกขีดขึ้นด้วยกรอบของการมองโรคเช่นนี้ทำให้ โอกาสที่ชุมชนและประชาชนทั่วไปจะเข้ามามีส่วนร่วมจึงเป็นไปได้ยาก บทบาทในการทำงานด้านการป้องกันโรคจึงต้องเป็นภาระหน้าที่ที่บุคลากรสาธารณสุขต้องแบกรับอยู่ตลอดไป เพราะหากวันใดที่เรารามือลง โรคก็จะกลับคืนมาได้ใหม่ ส่วนการส่งเสริมสุขภาพนั้นมุ่งเน้นการทำงานในกรอบความคิดเรื่องสุขภาพซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีเส้นขีดแบ่งระหว่างความเป็น “ผู้รู้” และ “ผู้ไม่รู้” ทุกคนไม่ว่าจะเป็นบุคลากรสาธารณสุข คนนอกวงการ และที่สำคัญคือชาวบ้าน จึงสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานได้ทุกคน การทำงานตามแนวคิดการส่งเสริมสุขภาพจึงไม่ได้เป็นเพียงภาระหน้าที่ของเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขเท่านั้น หากแต่เป็น “บทบาทแห่งยุคของทุกคน” (ศศิธร ไชยประสิทธิ์, 2544:35)
จากแผนภาพและคำอธิบายข้างต้น เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็น“การเคลือบหลุมร่องฟัน” “สอนแปรงฟัน” “ให้ทันตสุขศึกษา” “งานเฝ้าระวังฯ” หรือ “การฝากครรภ์” “เยี่ยมบ้านหลังคลอด” “ฉีดวัคซีนเด็ก” “กำจัดลูกน้ำยุงลาย” ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่อยู่ในระดับของการป้องกันโรคขั้นปฐมภูมิเพราะเป็นการมุ่งขจัดปัจจัยเสี่ยง เพื่อเป้าหมายคือ การลดการเกิดฟันผุ การลดอาการไม่พึงประสงค์ระหว่างการตั้งครรภ์และหลังคลอด การป้องกันโรคต่างๆที่จะเกิดกับเด็ก และการป้องกันการเกิดไข้เลือดออกเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามถ้าหากเราสามารถตอบได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและชุมชน และนำไปสู่สุขภาพที่ดีได้อย่างไร เราก็อาจจะเรียกได้ว่า กิจกรรมเหล่านี้เป็นการส่งเสริมสุขภาพขั้นปฐมภูมิได้เช่นเดียวกัน –แต่หากไม่ได้- สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่การป้องกันโรคเท่านั้น หาใช่การส่งเสริมสุขภาพแต่อย่างใด
ความแตกต่างระหว่างการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเป็นด่านสำคัญด่านแรกที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อที่จะแยกให้ออกว่าสิ่งที่เรากำลังคิด กำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า การส่งเสริมสุขภาพแน่หรือ หรือแท้ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงการป้องกันโรค การที่กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าการป้องกันโรคนั้นไม่มีความสำคัญ หากแต่ถ้าจะเลือกเดินมาบนเส้นทางของการส่งเสริมสุขภาพ เราจำต้องมีแผนที่ทางความคิดที่กำกับวิธีคิดและหนทางเดินของเราอย่างชัดเจนเสียก่อนในเบื้องต้นเท่านั้นเอง
ฐานความคิดสำคัญฐานที่ 1 : สุขภาพคือความรับผิดชอบของปัจเจกหรือสังคม
การที่จะเริ่มทำความเข้าใจความหมายของการส่งเสริมสุขภาพได้อย่างถ่องแท้นั้น นอกจากจะต้องจำแนกความแตกต่างระหว่างการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคแล้ว ฐานความคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง –สุขภาพ-บุคคลในฐานะปัจเจก และ-สังคม

ภาพที่ 2 ภาพจำลองความคิดความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพ ปัจเจกบุคคล และสังคม
(ดัดแปลงจาก Hjort and Waaler,1986 อ้างถึงใน ศศิธร ไชยประสิทธิ์, 2544:27)
จากภาพด้านบน ภาพ ก. คือการเปรียบเปรยกับฐานความคิดที่เชื่อว่า ปัจเจกแต่ละคนกำลังเข็นก้อนสุขภาพตนเองไปบนหนทางที่ราบเรียบ ในแง่นี้สุขภาพจึงกลายเป็นภาระหน้าที่ของปัจเจกผู้เป็นเจ้าของสุขภาพเองที่จะต้องรับผิดชอบในการเข็นก้อนสุขภาพของตนเองไปให้ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งหากเราเชื่อในฐานคิดนี้การที่เราจะทำให้คนแต่ละคนสามารถเข็นสุขภาพตนเองไปได้ตลอดรอดฝั่งจะสามารถทำได้โดยวิธีการใดๆก็ตามที่ทำให้คนแต่ละคนมีความแข็งแรงที่สุด กิจกรรมบนฐานคิดเช่นนี้สะท้อนออกมาในรูปของการมุ่งทำงานกับปัจเจก เช่น การให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรค การฉีดวัคซีน การออกกำลังกาย หรือการสอนทันตสุขศึกษา เคลือบฟลูออไรด์หรือเคลือบหลุมร่องฟัน เป็นต้น
แต่ในความเป็นจริงฐานคิดเช่นนี้อาจมิใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะในความเป็นจริงมนุษย์มิได้กำลังเข็นสุขภาพไปบนหนทางที่ราบเรียบ หากแต่ต้องเข็นและแบกรับสุขภาพของตนไปบนทางแห่งสังคมที่มีความชันกั้นขวางอยู่ ดังภาพ ข. ความชันนั้นมีตั้งแต่ปัญหาความยากจน การศึกษา เศรษฐกิจ ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่คุกคามต่อสุขภาพ จากฐานความคิดนี้จึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความแข็งแรงส่วนตัวมากเพียงใดก็ตาม ก็มิอาจแบกรับภาระสุขภาพของตนไปได้ตลอดรอดฝั่งบนสังคมที่มีความชันที่คอยแต่จะผลักสุขภาพให้กลิ้งตกลงมาทับเจ้าของสุขภาพตลอดเวลา หรือหากจะกล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือว่าการดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะทางสังคมที่มีความชันต่างกันสามารถทำให้มนุษย์มีสุขภาพหรือสุขภาวะที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น การที่คน 2 คนที่มีความรู้ในการดูแลสุขภาพและคุณสมบัติทางร่างกายเหมือนกันทุกประการ แต่บุคคลหนึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งเแข่งขันท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษ แต่อีกบุคคลหนึ่งมีชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆที่สงบเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ บุคคล 2 คนนี้ย่อมที่จะมีสุขภาพที่แตกต่างกันออกไปอย่างแน่นอนแม้ว่าบุคคลทั้ง 2 จะมีคุณสมบัติต่างๆเหมือนกันทุกประการก็ตามที
บนฐานความคิดสังคมแห่งความชันเช่นนี้ทำให้ทิศทางของการทำงานส่งเสริมสุขภาพจึงต้องไม่มุ่งเน้นที่การทำให้ปัจเจกแต่ละคนแข็งแรงที่สุด และต้องมิใช่เป็นการผลักภาระให้ปัจเจกแต่ละคนต้องดูแลสุขภาพของตนเองแต่เพียงด้านเดียว หากแต่ต้องพยายามลดความชันทางสังคมที่คุกคามสุขภาพของปัจเจกแต่ละคนลง และมุ่งเน้นให้สุขภาพของปัจเจกแต่ละคนเป็นภาระที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันของชุมชนและสังคม ด้วยเหตุนี้การส่งเสริมสุขภาพในระดับตติยภูมิ (ตามภาพที่ 1) จึงมุ่งหวังเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมและชุมชนให้มีความเหมาะสมนั่นเอง
ฐานความคิดสำคัญฐานที่ 2 : ส่งเสริมสุขภาพคือการเสริมสร้างพลังอำนาจแก่ชุมชน
ท่ามกลางกระแสแห่งการส่งเสริมสุขภาพที่พุ่งขึ้นสูงในสังคมไทยขณะนี้ แนวคิดของการส่งเสริมสุขภาพภายใต้กฎบัตรออตตาวา (Ottawa Charter of Health Promotion) มักจะถูกอ้างอิงอยู่เสมอในฐานะของการส่งเสริมสุขภาพแนวใหม่ และการส่งเสริมสุขภาพตามแนวทางนี้เองที่เป็นฐานความคิดสำคัญอีกฐานหนึ่งที่บทความชิ้นนี้ใช้ในการทำความเข้าใจแนวทางการทำงานส่งเสริมสุขภาพ
เมื่อมีการอ้างอิงถึงการส่งเสริมสุขภาพภายใต้กฎบัตรออตตาวา สิ่งที่มักจะนิยมกล่าวถึง ก็คือ การดำเนินงานภายใต้ ยุทธศาสตร์หลัก อันได้แก่
1) การก่อกระแสกลุ่มพลังทางสังคม (Advocate)
2) การเป็นสื่อกลางในการประสานงานระหว่างกลุ่มหรือหน่วยงานต่างๆ (Mediate)
และ 3) การเอื้ออำนวยให้ประชาชนได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ (Enable) (หรือที่อาจเรียกสั้นๆว่า ก่อกระแส ไกล่เกลี่ยประสาน และเกื้อกูลให้เกิด)
เพื่อนำไปสู่กิจกรรมสำคัญ 5 กิจกรรม อันได้แก่
1) การสร้างนโยบายสาธารณะที่เอื้ออำนวยต่อการมีสุขภาพที่ดี
2) การสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ
3) การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล
4) การเสริมความเข้มแข็งของการทำงานในชุมชน
และ 5) การปรับระบบบริการสาธารณสุข แต่บทความชิ้นนี้จะชวนให้มองผ่าน “เรื่องฮิต” เหล่านี้ไปในเบื้องต้น ( โดยจะกลับมากล่าวถึง “เรื่องฮิต” เหล่านี้ในภายหลัง ) และชี้ชวนให้กลับมาเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจกับนิยามของการส่งเสริมสุขภาพภายใต้กฎบัตรออตตาวาเสียก่อน ซึ่งนิยามดังกล่าวมีอยู่ว่า
“ การส่งเสริมสุขภาพหมายถึง กระบวนการเพื่อให้ประชาชนเพิ่มความสามารถในการควบคุมและสร้างเสริมสุขภาพของตนเองให้ดีขึ้น เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ” (World Health Organization, 1986 อ้างใน ศศิธร ไชยประสิทธิ์, 2544: 36)
หากพิจารณานิยามข้างต้นอย่างลึกซึ้ง จะพบว่านิยามนี้กล่าวถึง “ การมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ” ไว้ในฐานะที่เป็นเป้าหมายของการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพ และเราจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้ก็ด้วยการทำให้ “ประชาชนเพิ่มความสามารถในการควบคุมและสร้างเสริมสุขภาพตนเองให้ดีขึ้น ” ภายใต้นิยามเช่นนี้ “ การทำให้ประชาชนเพิ่มความสามารถ” จึงเป็นแนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของการทำงานส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งแนวคิดนี้ก็คือแนวคิดที่เราเรียกกันว่า “การเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment)” นั่นเอง
คำว่า “การเสริมสร้างพลังอำนาจ ” ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่มีผู้กันมากมายภายใต้ความหมายที่แตกต่างกันไป แต่พอที่จะสรุปได้ว่า การเสริมสร้างพลังอำนาจนั้น หมายถึง “การคืนอำนาจ ความรู้ ทักษะและทรัพยากรอื่นๆให้กับชุมชน ทำให้ผู้คนได้พัฒนาทักษะและยกระดับสู่การตระหนักถึงและให้ความเคารพต่อพลัง ความสามารถ และอำนาจที่ตนเองมีอยู่ การเสริมสร้างพลังอำนาจให้แก่ชุมชนจึงเป็นขั้วที่อยู่ด้านตรงข้ามกับการเข้าไปควบคุม จัดการ ดูแล และเยียวยารักษาชุมชน” (ศศิธร ไชยประสิทธิ์, 2544: 70) (Mason et.al., 1991 และ Green & Raeburn, 1988 อ้างใน Rodwell, Christine M., 1996)
หากร้อยเรียงความคิดจากฐานคิดที่ 1 (ที่เสนอมุมมองว่าสุขภาพของปัจเจกขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ สุขภาพที่ดีจึงมิใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นภาระร่วมกันของชุมชนและสังคม) มาถึงนิยามของการส่งเสริมสุขภาพดังที่กล่าวข้างต้น การเสริมสร้างพลังอำนาจของชุมชนจึงกลายเป็นฐานคิดสำคัญฐานที่ 2 ที่เป็นทั้งกระบวนการที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายคือการมีสุขภาพที่ดี ในขณะเดียวกับที่เป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง หมายความว่าการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพภายใต้นิยามเช่นนี้จึงเป็นกิจกรรมที่มีเป้าหมาย คือ “ การทำให้ชุมชนมี ศักยภาพ พลัง และ อำนาจในการที่จะจัดการ ควบคุม ดูแลสุขภาพของตนเองได้ ” (อำนาจ ศรีรัตนบัลล์, 2547)
************************
เอกสารอ้างอิง 1) ศศิธร ไชยประสิทธิ์ : 2544 สุขภาพช่องปาก สุขภาพสังคม: จากแนวคิดทฤษฎีการส่งเสริมสุขภาพแนวใหม่สู่ภาคปฏิบัติ.โรงพิมพ์นันทพันธ์ : เชียงใหม่. 2) อำนาจ ศรีรัตนบัลล์ : 2547 “แนะนำหนังสือ Health Promotion Practice: Power& Empowerment โดย Glenn Laverack” ใน วารสารสร้างเสริมสุขภาพ. 1 (1-2) หน้า 67-70. 3) Rodwell, Christine M. : 1996 “An Analysis of the Concept of Empowerment” in Journal of Advanced Nursing. 23 (305-313)
************************ จบตอน 1 ติดตามอ่านต่อตอนต่อไปฉบับหน้า
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น