เรื่องเล่าประทับใจโดย นางสาวสุภาพ สิกขาพันธ์
นักวิชาการสาธารณสุข 7 หน่วยงาน คลินิกใกล้ใจ
โรงพยาบาลระโนด อ. ระโนด จ. สงขลา 90140
“ สวัสดีค่ะ..คุณยาย ”
“ หวัดดีลูก ”
“ เป็นยังไงบ้างคะ วันนี้ ”
“ พันนั้นแหละ ”(เหมือนทุกๆวัน)
บ่ายวันหนึ่งที่ออกเยี่ยมบ้าน ฉันยกมือไหว้ทักทายหญิงชราวัย 80 ปีเศษ ซึ่งนั่งอยู่บนกระท่อมไม้เก่าๆยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร กระท่อมไม้นี้มีเสาปูนเล็กๆ 9 ต้น หลังคามุงจาก มีรูรั่วอยู่หลายรอย หน้าร้อนแดดก็ส่องลงมาทางรอยรั่ว จนร้อน หน้าฝนน้ำฝนก็หยดผ่านรอยรั่วจนเปียก พื้นไม้ที่หญิงชรานั่งอยู่บนกระท่อมเป็นพื้นไม้ผุๆ แทบต้อนรับผู้มาเยือนไม่ได้ เพราะหากมีคนนั่งบนกระท่อมเกิน 2 คน หลังคาและพื้นไม้อาจสามัคคีกันพังลงมาก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ฉันซึ่งเป็นพยาบาลประจำครอบครัวของหญิงชราผู้นี้มาเยี่ยมบ้านจึงอยู่ในท่าประจำคือต้องยืนที่ชายคาแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสกันแล้วจึงค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่งอย่างระมัดระวังโดยห้อยขาไว้นอกตัวบ้าน
แล้วทำการตรวจร่างกายด้วยการวัดความดัน ฟังหัวใจ ตรวจชีพจร ฉันเรียกหญิงชราผู้นี้ว่าคุณยาย เนื่องจากท่านอายุ 80ปีเศษแล้ว คุณยายมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง แต่หากไม่มีโรคต้อกระจกในตาทั้ง 2 ข้าง คุณภาพชีวิตของคุณยายคงจะดีกว่านี้ เพราะทุกวันนี้คุณยายมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของทุกทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้อย่างเลือนลาง แม้กระทั่งตัวฉันเองซึ่งมาเยี่ยมคุณยายทุกเดือน หรือบ่อยกว่านั้น คุณยายต้องใช้วิธีจำเสียง ใช้มือลูบมาที่หัว และมือของฉันอย่างขอบคุณ พร้อมทั้งให้พรเสมอ
ซึ่งทำให้ฉันอบอุ่นทุกครั้งที่ได้รับสัมผัสและมีความสุขที่ได้รับพรจากคุณยาย ฉันตั้งใจพาคุณยายไปผ่าตัดต้อกระจก ที่โรงพยาบาลสงขลาหลายครั้ง เพราะต้องการให้ดวงตาของของคุณยายได้เห็นความงดงามบนโลกใบนี้ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่ ฉันมาเยี่ยมคุณยายบ่อยครั้งมาก เพราะปกติแล้วคุณยายไม่ค่อยได้รับความดูแลจากใคร โดยเฉพาะทางด้านจิตใจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก จนทำให้เกิดความผูกพันทำให้รู้สึกเหมือนคุณยายคนนี้เป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง และฉันก็เชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าคุณยายก็คงรักฉันเหมือนลูกหลานอย่างแน่นอนหรือไม่ก็รักมากกว่าลูกหลานแท้ๆเสียอีก
เนื่องจากในวัยสาวคุณยายได้แต่งงานกับสามีซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ไม่มีลูกด้วยกัน คุณยายได้เลี้ยงลูกชายบุญธรรมคนหนึ่ง แต่ในวัยหนุ่มลูกชายบุญธรรมของคุณยายได้ใช้ชีวิตเจ้าสำราญ เที่ยวและเล่นการพนันจนผลาญทรัพย์สมบัติของคุณยายไปจนหมด ซ้ำร้ายที่ดินของคุณยายที่ปลูกเรือนอยู่ ลูกชายบุญธรรมก็เอาไปจำนองไว้กับคนอื่นเสียแล้ว แต่คนที่รับจำนองก็มีมนุษยธรรมพอที่จะให้คุณยายได้อยู่บนผืนแผ่นดินซึ่งเดิมเป็นของคุณยาย แต่บัดนี้ไม่ใช่ของคุณยายเสียแล้ว แต่ก็ยังยินดีให้คุณยายอยู่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะ............
คุณยายเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังหลายครั้งและ ทุกครั้งที่เล่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย ดวงตาที่มีต้อกระจก จะมีน้ำตาไหลออกมาเปื้อนหน้าอยู่ร่ำไป มันทำให้ฉันรู้สึกสัมผัสได้ถึงความทุกข์นอกเหนือจากความเจ็บป่วยของคุณยายที่ฉันต้องดูแล คุณยายไม่มีรายได้จากที่ไหนเลย เนื่องจากความชราและมีโรคประจำตัว ได้รับประทานอาหารวันละ 2 มื้อ คือ มื้อเที่ยง กับมื้อเย็น จากญาติข้างบ้าน ซึ่งพอประทังชีวิตให้อยู่รอด เป็นแบบนี้มาหลายสิบปี จนกระทั่งฉันได้มารับผิดชอบดูแลพื้นที่หมู่บ้านนี้ และได้พบกับคุณยายด้วยความตั้งใจที่อยากให้คุณภาพชีวิตของคุณยายดีขึ้นกว่าเดิมเท่าที่กำลังของพยาบาลคนหนึ่งหรือมนุษย์คนหนึ่งพึงกระทำได้ ...ฉันจะทำ…
ครั้งแรก ที่เจอคุณยายและรับรู้ถึงความทุกข์ที่คุณยายมีและต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ฉันจับมือทั้งสองข้างของคุณยายมากุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของฉันแล้วบอกคุณยายว่า
“ ไม่พรื่อนะยาย ” (ไม่เป็นไรนะคะ)
“ หนูจะดูแลคุณยายจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะตายไปข้างหนึ่งนะคะ...”
แล้ววันนั้นฉันก็หยิบเงินในกระเป๋าของฉัน ส่งให้คุณยาย 300 บาทและบอกกับคุณยายว่า
“ หนูให้คุณยายไว้ซื้อขนมกิน และจะเอาเงินมาให้ทุกเดือนนะคะ ” คุณยายขอบอกขอบใจฉันเป็นการใหญ่และฉันยังคิดในใจต่อไปอีกว่าเงิน 300 บาท ที่ให้คุณยายไปไม่ทำให้ฐานะฉันจนลง และไม่ทำให้รวยขึ้นแต่อย่างใด แต่มันอาจมีคุณค่ามากมายเหลือเกินสำหรับคนที่ทุกข์ยาก ต้องการความช่วยเหลือ อย่างเช่นคุณยายคนนี้ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันสัมผัสได้ในตอนนั้น คือความสุขที่ได้มีโอกาส “ให้” เพราะสัมผัสของคุณยายมันทำให้ฉันรับรู้ได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และทุกๆเดือน ฉันก็มอบเงินให้คุณยาย 300 บาท เงินส่วนนี้คุณยายบอกกับฉันว่ามันมีความหมายสำหรับคุณยายมากเหลือเกิน เพราะคุณยายสามารถใช้ซื้อของที่อยากกิน นอกเหนือจากอาหารหลักที่ญาติจัดมาให้วันละ 2 มื้อ ซึ่งไม่มีสิทธิ์เลือกได้ นอกเหนือจากนั้นเมื่อดูแลเรื่องความเป็นอยู่แล้วฉันก็นึกไปถึงสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราดำรงชีวิตอยู่ได้นั่นก็คือ ปัจจัยสี่ ฉันมอบเงินช่วยเหลือยายเดือนละ 300 บาท เพื่อไว้ซื้ออาหารที่อยากกิน
ฉันมาตรวจร่างกายรับยาจากโรงพยาบาลมาให้ ฉันหาเสื้อผ้า ผ้าห่มมาให้ แต่ยังขาดอีกปัจจัยหนึ่งก็คือที่อยู่อาศัยเพราะบ้านคุณยายจวนจะพังเต็มที่แล้ว ไหนๆก็ดูแลสุขภาพให้คุณยายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้คุณยายเสียชีวิตเพราะโดนบ้านพังลงมาทับ ฉันก็เลยเรี่ยไรจากที่ประชุมประชาคมหมู่บ้าน,ผู้ใหญ่บ้าน, สมาชิก อบต.,ในหมู่บ้าน เพื่อนๆ ญาติๆของฉัน และจากกองทุนช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากของ อสม.ตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เพื่อนำไปสร้างบ้านหลังใหม่ให้คุณยายได้พักอยู่อย่างสุขสบายขึ้นกว่าเดิมในช่วงบั้นปลายชีวิต
โดยนำช่างจากโรงพยาบาลระโนดไป 3 คน และหาคนช่วยจากชุมชน ได้แก่ อสม. เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย และคนในหมู่บ้าน ช่วยกันรื้อบ้านหลังเก่าของคุณยายและสร้างบ้านหลังใหม่ให้คุณยายเสร็จภายในเวลา 3 วัน เปลี่ยนจากหลังคามุงจาก เป็นหลังคามุงกระเบื้อง ขอสนับสนุนกระเบื้องจาก อบต. ปากแตระ และพื้นไม้ที่แข็งแรง เสาที่แข็งแรง ฝาบ้านที่ไม่รั่ว ใช้เงินบริจาคที่ฉันและทีมงานเรี่ยไรมาได้ จนบ้านของคุณยายสามารถต้อนรับคนให้สามารถนั่งบนบ้านได้นับสิบคน โดยไม่ต้องกลัวบ้านพังแต่อย่างใด
ฉันสังเกตสีหน้าและแววตาแห่งความสุขของคุณยายได้ คุณยายได้บ้านหลังใหม่ที่แข็งแรงกว่า สะดวกสบายกว่า เพราะเดิมทีห้องน้ำของคุณยายอยู่นอกตัวบ้าน คุณยายตามองไม่ชัดอยู่แล้ว การลงจากบ้านมาเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งช่างแสนลำบากเสียเหลือเกิน การสร้างบ้านให้คุณยายหลังใหม่บนที่ดินเดิมครั้งนี้ ช่างได้เชื่อมห้องน้ำติดกับตัวบ้าน ที่ทำให้คุณยายสามารถเข้าห้องน้ำได้อย่างสะดวกไม่ต้องลงจากบ้านเหมือนแต่ก่อน
คุณยายยิ้มมีความสุข ให้พรฉัน ทีมงานและทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือคุณยาย ซึ่งมันก็ทำให้คนรอบข้างหรือผู้มีส่วนร่วม มีความสุขได้เช่นเดียวกัน และฉันยังขอบคุณ คุณยายคนนี้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉัน ทีมงาน เพื่อนๆ ญาติพี่น้องของฉันและบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการทำความดี หรือมีจิตเมตตา พอมีกินมีใช้ ได้ร่วมกันทำบุญกับคนทุกข์ยาก ในอำเภอระโนดอีกกว่า 30 คน นั่นก็คือ เมื่อฉันและทีมงานออกไปเยี่ยมบ้านประชาชนในเขตรับผิดชอบหรือศึกษาชุมชน ตามแนวทางการศึกษาชุมชนของ นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์
ทำให้ทราบความจริงที่มีอยู่ ความจริงที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตรกับเพื่อนมนุษย์ที่เราไม่เคยทราบมาก่อน อีกหลายอย่างโดยเฉพาะได้ทราบถึงความทุกข์ยากของคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ขาดคนดูแล ขาดรายได้ ขาดโอกาสตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉัน ทีมงาน ญาติและเพื่อน ๆอีกกว่าสิบคน ได้ร่วมกันบริจาคเงินเป็นรายเดือน คนละ 100- 500 บาททุก ๆเดือน เพื่อนำไปมอบให้คนทุกข์ยากเหล่านี้ ในเดือนหนึ่งๆฉันเก็บเงินจากผู้มีจิตเมตตาเหล่านี้ได้เดือนละ กว่า 2,000 บาท แล้วนำไปมอบให้คนลำบากที่ฉันและทีมงานได้ลงไปเยี่ยมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล จนฉันและทีมงานเรียกมันว่า “ การเอื้ออาทรผู้ทุกข์ยาก ”
จนอยู่มาวันหนึ่ง ฉันเล่าเรื่องนี้ให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลระโนด ซึ่งก็คือ นายแพทย์ธีรวัฒน์ กรศิลป ฟัง ท่านบอกว่า “ เอาอย่างนี้สิ ผมบริจาคให้ด้วยเดือนละ 400 บาททุกเดือนเลยนะ แล้วขยายโครงการนี้ให้ครอบคลุมทั้งอำเภอ โดยเรามีบทบาทเป็นสื่อกลางในการรับบริจาคเงินและสิ่งของ แล้วนำไปมอบให้ผู้ทุกข์ยากโดยทำอย่างต่อเนื่องทั่วถึง” โดยทำร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยทุกแห่ง พร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “โครงการสื่อกลางสัมพันธ์สู่ผู้ทุกข์ยาก โรงพยาบาลระโนด” มีการตั้งคณะทำงานโครงการ ประสานกับสถานีอนามัยทุกแห่งในอำเภอระโนดในการส่งผู้ทุกข์ยากมารับการช่วยเหลือ
จากโครงการนี้โดยผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานโครงการฯ มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มี จิตเมตตาที่ต้องการบริจาค ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ จดหมายข่าว บอร์ดนิทรรศการที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล และตู้รับบริจาคที่หน้าห้องเวชระเบียนของโรงพยาบาล จนในเดือนหนึ่งๆมีผู้บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากเหล่านี้เป็นเงินเกือบ 10,000 บาท และมีผู้ทุกข์ยากที่ผ่านการพิจารณาเพื่อช่วยเหลือทั้งอำเภอ รวม 36 คน
ซึ่งผู้ทุกข์ยากเหล่านี้อยู่ในกลุ่มที่ไม่สามารถจัดหาอาชีพเพื่อให้เลี้ยงตัวเองได้อีกแล้ว เพราะส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 60 ปี หรือพิการแขนขา ทางทีมงานจึงช่วยเหลือด้วยวิธีบริจาคเงินเพื่อซื้อหาสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากลงไปได้บ้าง นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการทำงานของฉันและทีมงานที่ได้เห็นทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ แล้วหาทางช่วยเหลือนอกเหนือจากการดูแลความเจ็บป่วยทางกาย เพราะในทุกๆเดือนเจ้าหน้าที่ประจำครอบครัวจะนำเงินมาให้ มาเยี่ยม มาถามทุกข์สุข เอายาที่ต้องรับประทานต่อเนื่องมาให้ที่บ้าน สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น
มีคนคอยดูแล เอาใจใส่ มีที่ปรึกษา สังคมใกล้ชิดช่วยกันดูแล สิ่งเหล่านี้นับได้ว่าเป็น win – win situation เพราะคนที่ให้ความช่วยเหลือ คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ให้” มีความสุขทันทีที่ได้ให้ คนที่เป็นผู้รับก็มีความสุขที่ได้บรรเทาทุกข์ลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกำลังใจให้ฉันและทีมงาน ทำให้มีพลัง มีแรงที่จะทำงาน
บ่อยครั้งที่มีคนในวงการเดียวกันพูดให้เข้าหูอยู่บ่อยๆว่างานเยี่ยมบ้าน เป็นงานที่หนักและเหนื่อย ร้อนก็ร้อน บางครั้งโดนสุนัขกัดก็มี ค่าตอบแทนก็ไม่ได้ แต่คนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่าสิ่งตอบแทนที่ได้จากการที่ได้ดูแล “คนทั้งคน” มันมีคุณค่ามหาศาลที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้เพราะคุณค่ามันมากเหลือเกิน นั่นคือ “ความสุข ” สุขที่ได้เห็นทุกข์ของคนอื่นน้อยลง หรือหมดไป สุขที่ได้เห็นรอยยิ้มมาแทนที่สีหน้าที่เศร้าหมอง
สุขที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างไปในทางที่ดีขึ้น สุขที่เห็นทีมงานมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ที่เป็นพลังให้ฉันและทีมงานมีความสุข มีแรง มีพลัง ที่จะทำงานตรงนี้ต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น