บทสัมภาษณ์ คุณชุติมา พงศ์อำไพ เจ้าพนักงาน ทันตสาธารณสุข 6 งานทันตสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช
ทันตาภิบาล (รุ่นที่ 5) จังหวัดชลบุรี ปี 2517 พี่เลี้ยสจบทันตาภิบาล จากโรงเรียนทันตาภิบาล ศูนย์ฝึกและอบรมอนามัยภาคกลาง จังหวัดชลบุรี ปี 2517 รุ่นที่5 รุ่นนี้ มีนักเรียน 17 คนค่ะ ปัจจุบันเปลี่ยนสายงานไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลือทำหน้าที่เป็นทันตาภิบาลบวกกับการเป็นเสมียนในฝ่าย เพียง 2 คน คือ ตัวพี่เลี้ยส กับน้อย – สุกัลยา ที่อยู่ สสจ.เพชรบูรณ์
ทำไมเลือกเรียนทันตาภิบาล ?
ก็คงเหมือนกับหลายๆคนที่เลือกมาเรียน ทันตาภิบาล คือผิดหวังเอนทรานซ์ ทำใจไม่ได้ อยากไปอยู่ที่ไหนก็ได้สักระยะหนึ่งเพื่อปรับสภาพจิตใจ โดยไม่เป็นภาระใคร อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวไม่เอื้อให้เราทำอะไรตามใจตัวเอง พี่น้องทุกคนอยู่ในวัยเรียน เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับทันตาภิบาล รู้ว่าทันตแพทย์ เรียน 6 ปี แล้วทันตาภิบาล เรียน 2 ปีจะทำฟันได้อย่างไร น่าลองดู เมื่อไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทุกอย่างฟรี เรียนจบแล้วได้เป็นข้าราชการ และที่สำคัญไปเรียนที่จังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพไม่มากนัก ไม่แออัด มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย คิดเอง เออเอง (ทั้งๆที่ พ่อไม่เห็นด้วยและไม่ไปส่ง ปกติพ่อจะไปส่งลูกๆ เข้าเรียนทุกแห่งด้วยตนเองเสมอ) การตัดสินใจครั้งนั้น แม้จะไม่ถูกใจพ่อ แต่ก็ไม่ถึงกับเสียหาย และเมื่อถึงวันนี้ก็พอใจ
ประสบการณ์ที่ผ่านมา
ประสบการณ์มากกว่า 30 ปี ที่พี่ทำงานที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ธันวาคม 2517 จนถึงปัจจุบันรวม 32 ปี 6 เดือน สำหรับคนที่เพิ่งจบใหม่ๆ คงมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่สำหรับพี่แล้วเพิ่งผ่านมาแป๊บเดียว แต่ละปีผ่านไปเร็วมาก
สิ่งที่พี่ทำดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ ทำเรื่องเล็กๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ก็น่าจะมีประโยชน์ เพราะผู้บริหารอนุมัติโครงการ และสนับสนุนงบประมาณมาตลอด ทุกโครงการ/กิจกรรมล้วนบรรจง ต่อเติม ให้เหมาะกับสภาพปัญหาในพื้นที่ ทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังสร้างขวัญและกำลังใจ ให้ทีมงาน และที่สำคัญตัวพี่เองมีความสุขและสนุกสนานด้วย
ช่วงแรก (2518 – 2528)
เริ่มด้วย สโลแกนที่ว่า เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด เพราะได้มีโอกาสทำงานที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งมีพี่ๆ ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ และเปี่ยมด้วยคุณภาพ ยอมรับว่าทั้ง copy & apply (ลอกเลียนแบบและประยุกต์) ไม่ว่าจะเป็นแบบอย่างการทำงาน หรือ ทักษะการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะการออกอนามัยโรงเรียน ของพี่เสงี่ยม พี่ยุเรศ เจ้าหน้าที่ของกรมอนามัย ที่มาตั้งหน่วยระดับเขตอยู่ที่ สสจ.นครศรีธรรมราช ได้ร่วมงานกับทีมนี้มาตั้งแต่ต้น ได้เรียนรู้เรื่องการเตรียมข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการจัดทำแผนงานโครงการฯ อีกทั้งตามเขาไปนิเทศงานที่สถานีอนามัย เพราะอยากไปเที่ยว ตรงนี้ทำให้พี่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัย สาธารณสุขอำเภอ ที่น่ารักหลายท่าน หลายแห่งมีเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียว ทำงานทุกอย่างเหมือนกับที่ทำงานเป็นบ้านของตนเอง แม้แต่การบริหารจัดการบางแห่ง ทำให้งง ตื่นเต้น แต่บางครั้งก็ดูเป็นเรื่องสนุกสนาน มีอยู่หลายแห่งที่เห็นแล้วประทับใจตั้งแต่ การปรับปรุงภูมิทัศน์ และการตกแต่งภายใน การจัดเตรียมข้าวของ มีแผนปฏิบัติงานและผลงานที่พี่เห็นได้ และบุคลิกภาพของเจ้าหน้าที่
สรุปแล้วคิดว่า ร้อยละ 60 อยู่ที่ตัวบุคคล อีกร้อยละ 40 น่าจะเป็นปัจจัยอื่น เช่นสภาพภูมิศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจของประชาชน องค์กรชุมชนในสมัยนั้น ก็มีผลกับการพัฒนาสถานีอนามัยมาก เป็นประสบการณ์ที่หลากหลาย ทำให้เห็นสภาพภูมิประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราชค่อนข้างชัดเจนขึ้น ซึ่งมี 20 อำเภอในขณะนั้นค่ะ บางพื้นที่ที่ค่อนข้างจะแห้งแล้งและกันดาร น้ำดื่มน้ำใช้ที่เขาบอกว่าสะอาด นำมาให้เราล้างเครื่องมือ และให้เด็กบ้วนปาก มีสีค่อนข้างเข้ม เหมือนมีสารอื่นเจือปน จะใช้ได้อย่างไรล่ะ แต่ก็ต้องใช้ เพราะนั่นดีที่สุดแล้ว (เป็นน้ำฝนที่รองจากหลังคาใบจาก) กลับมานอนไม่หลับ แผลถอนฟันเด็กจะติดเชื้อหรือเปล่าน้อ ?
เห็นความแตกต่างของอนามัยในช่องปากของเด็กในพื้นที่ราบเชิงเขา กับที่ราบชายฝั่งทะเล ซึ่งสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ภาพเด็กในชนบทที่ด้อยโอกาสจะเข้าถึงการบริการทันตกรรม เกิดแรงบันดาลใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว เริ่มจริงจังกับโครงการทันตกรรมเคลื่อนที่ในโรงเรียนอย่างต่อเนื่องอยู่หลายปี (ประชุมครู คัดกรอง ให้บริการ สอนทันตสุขศึกษาในชั้นเรียน ช่วงที่มีน้องจบใหม่มารายงานตัว ก็ให้เริ่มด้วยโครงการนี้ก่อน) นอกจากได้งานตามวัตถุประสงค์หลักแล้ว ทำให้พบเพื่อนครูหลายคน และยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ครูและนักเรียนทราบว่า นอกจากทันตแพทย์ที่จะให้บริการบำบัดรักษาโรคในช่องปากแล้ว ยังมีทันตาภิบาล ที่เป็นทันตบุคลากรของสาธารณสุข อีกสาขาหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือนักเรียนและประชาชนให้พ้นจากการเจ็บป่วยจากโรคในช่องปากได้อีกแรงหนึ่งด้วยเช่นกัน
ช่วงที่ 2 (2529 – 2537)
มีฝ่ายทันตสาธารณสุขเกิดขึ้นในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทันตบุคลากรเพิ่มขึ้น งานทันตสาธารณสุขเป็นองค์ประกอบหนึ่งของ HFA ทำให้งานส่งเสริมป้องกันชัดขึ้นทั้งในโรงเรียน และชุมชน งานเอกสารเพิ่มขึ้น งานบริการลดลง รวมทีมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเข้าชุมชน ทำให้บทบาทของผู้จัดการ ทันตาภิบาลและเสมียนชัดเจนขึ้นค่ะ เพราะทันตแพทย์จะใช้ทุนหมุนเวียนจะอยู่กับเราไม่นาน (ต้องอำนวยความสะดวกหน่อย เพื่อเขาจะได้อยู่กับเราได้นาน ๆ นพ.สสจ.บอก) ถามว่า มีปัญหามั้ย มีนะแต่น้อยมาก เพราะเรามีทันตแพทย์จากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลทุ่งสง ให้ความช่วยเหลือ และหัวหน้าฝ่ายอื่น ๆ โดยเฉพาะ พี่วีณา (หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนายุทธศาสตร์) คอยติดตามงานชิ้นสำคัญ ๆด้วยตนเอง
ช่วง ที่ 3 (2538 - ปัจจุบัน)
ค่อนข้างจะสบาย (สมอง) หน่อย เพราะมีทันตแพทย์ 2 คน ( ทพ.สำราญ ปิตากุลดิลก & ทพ.ทรงศักดิ์ นาคสังข์ ) แม้คนหลังไม่เคยทำงานอยู่ใน รพช.เลย แต่ก็ Enjoy อยู่ตรงนี้ ได้ 10 กว่าปีแล้ว ผลัดกันเป็นหัวหน้า ผลัดกันเป็นลูกน้อง ไม่มีปัญหาจุกจิก แต่มีงานอื่น ๆเยอะมาก (บางครั้งพี่ไปรับงานเหล่านั้นมาเอง แต่หมอไม่บ่นเลย คงแอบสะใจอยู่ก็ได้) ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ท้าทาย ทำให้น้อง ๆ ในฝ่ายมีงานทำกันตลอด ทั้ง ๆที่เขาต้องทำงานคลินิกเต็มวันอยู่แล้ว ต้องมาช่วยพี่อีก ดูจะเหนื่อยกว่าพี่อีก น้องเล็ก...สุคนธ์จะเป็นมนุษย์ IT และ น้องน้อย ..ชลิดา ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยมค่ะ
ความคับข้องใจ เพราะไม่ได้ดั่งใจ
งาน/โครงการตามนโยบาย ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา แต่เมื่อจังหวัดนำมาปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมให้เหมาะกับความต้องการและถูกใจทีมงานโดยเฉพาะพี่เอง จะดูความครอบคลุม ทั่วถึง ให้มากที่สุดซึ่งงบประมาณจะต้องหาเพิ่มเติม จากไหนล่ะ หลายครั้งที่ต้องเสียใจเพราะหัวหน้าที่ไป ต่อรองมาไม่ได้ บางครั้งก็นำวิชาเทพมาช่วย แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร หรือทีมงานของสสจ. เป็นอย่างดี
ความขัดแย้งจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจในเจตนา
เช่น ผู้ใหญ่ให้เราไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ แต่บอกว่าไม่ต้องเอาเครื่องมือไปถอนฟันก็ได้ ตรวจ คัดกรอง จ่ายยา ตามอาการ แล้วส่งต่อมารับบริการที่สสจ. หรือโรงพยาบาล ทำให้งง เอ.. ให้เราไปทำไมละ เด็กและชาวบ้านเขาจะไปหาหมอฟันที่ไหน โรงพยาบาลจังหวัดก็อยู่ไกล ถนนหนทางก็ไม่สะดวก รู้สึกอึดอัด และคับข้องใจเป็นที่สุด แสดงว่าผู้ใหญ่สมัยนั้น เขากลัวเราจะทำเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น ( เพราะความรู้อันน้อยนิดของเรา)สรุปว่า การสื่อสารที่ดี การประสานงานที่ดี การมีมนุษยสัมพันธ์ แก้ปัญหาได้เกือบทุกเรื่อง โดยเฉพาะจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของทีมงาน แต่คิดว่าไม่เป็นไร รับได้ เพราะทุกคนมุ่งผลประโยชน์ส่วนรวมเหมือนกันค่ะ
ดูแล้วทุกอย่างแทบไม่ใช่ปัญหา
อยู่ที่ตัวเรา จะคิดว่าสิ่งเล่านี้เป็นปัญหาหรือเปล่า
แนวคิดการทำงาน จากประสบการณ์ตรง
พี่คิดว่า อย่างแรก น่าจะเป็นการเตรียมตัวเองให้พร้อม ทั้งสุขภาพกายต้องดีตามวัย และจิตใจที่เข้มแข็ง อย่างมีสติ
อย่างที่สอง ต้องพัฒนาตนเอง ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเทคนิคและเครื่องมือเครื่องใช้ ให้เพียงพอที่จะทำงานงานยุคโลกาภิวัตน์
อย่างที่สาม ต้องจัดทำข้อมูลพื้นฐาน ที่เป็นปัจจุบัน และแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
สี่ ต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม (และให้ถูกใจคนทำบ้าง ) จริงอยู่การบริหารจัดการอาจจะต้องเอาความถูกต้องมาก่อน แต่ถ้าถูกใจคนทำงานบ้าง ทำให้ความอยากที่มีอยู่ลึก ๆปรากฏออกมาเป็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
และสุดท้าย ต้องเตรียมแผนงาน/โครงการล่วงหน้า (เพราะงานทันตสาธารณสุข ไม่ใช่เรื่องเฉียบพลัน) ดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความพร้อมก่อน อีกทั้งแหล่งงบประมาณ ก็ต้องชัดเจนด้วย
พูดถึงรางวัลที่ได้รับจากการทำงานหน่อย
(ทันตาภิบาลดีเด่นประจำภาคใต้ประจำปี 2549 )
พี่ชอบทำงานสนุกๆสบายๆ ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด ไม่ชอบการประกวด การแข่งขัน เพราะทำให้เกิดความกังวล ดีของเรา อาจจะไม่ใช่ดีของคนอื่นๆก็ได้ มีเพื่อนสมัยมัธยมฝากในสมุด บันทึกว่า “ จงทำดี แต่อย่าให้เด่น จะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็น เราเด่นเกิน ” ตอนหลังมาอ่านเจอเป็นงานเขียนของ ท่านพุทธทาส แต่เมื่อ “สวรรค์มีตา ฟ้าเป็นใจ” ก็ขอรับไว้เป็นความภาคภูมิใจ แก่วงศ์ตระกูล ขอขอบคุณ หมอตี้ ทีมงานทันตสาธารณสุข ผู้บริหาร พ่อ – แม่ พี่ - น้อง และเพื่อนๆทุกท่าน ที่ให้โอกาส ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ขอขอบคุณ คณะกรรมการ คตสท. และคณะทันตแพทย์ มอ. ที่จัดกิจกรรมดีๆ อย่างนี้ขึ้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่คนที่ได้ทำดีมาอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่อยากทำต่อไป
เวลาที่เหลืออีก ไม่มากกว่าที่ใช้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาของราชการ หรือส่วนตัว ...ข้าราชการ สนับสนุนทุกโครงการที่จะทำให้ นักเรียน และประชาชนพึ่งตนเองได้ในการดูแลสุขภาพ และได้รับบริการทันตสาธารณสุข ครอบคลุมมากที่สุด และเหมาะสมตามสภาพ ...ส่วนตัว ดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นภาระของคนรอบข้าง เป็นลูกกตัญญู ดูแลแม่ซึ่งอยู่ในวัยชราแล้ว อีกทั้งช่วยเด็กด้อยโอกาสตามสมควร และ...งานในไร่ ไม้ดอก ไม้ประดับกับสิ่งที่โปรดปรานอยู่ตั้งแต่วัยเด็กนั่นคือ....การท่องเที่ยว
มุมมองต่อวิชาชีพ ทันตาภิบาล
ถ้าในยุคนั้น คิดว่าตัวเองเลือกไม่ผิด ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและประชาชนด้อยโอกาส เป็นบุคลากรที่ขาดแคลน แต่ปัจจุบันแม้จะทำใจแล้วแต่ก็รู้สึกว่าถูกกีดกันจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นใบเบิกทางในการประกอบวิชาชีพ โอกาสการศึกษาต่อเนื่องในหลักสูตรที่สามารถยกระดับตำแหน่งของตนเอง เป็นไปได้อย่างไร หลักสูตรกำหนดไว้ตั้ง 40 ปีแล้วยังเหมือนเดิม เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยแค่บทบาทส่งเสริมสุขภาพ แต่ไม่เพิ่มคุณวุฒิ หันไปมองวิชาชีพอื่นจาก พื้นฐาน ม.ศ.3 หรือ ม.6 ในอดีต ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงระดับปริญญาตรี แต่หลักสูตร ทันตาภิบาล ม.ศ. 5 วิทยาศาสตร์ ในอดีต จนถึงปัจจุบัน จะ40 ปี แล้วยังเป็นเพียงประกาศนียบัตรเท่าเดิม (แม้จะต่อเติมคำว่าศาสตร์เข้ามาให้ดู เก๋ ๆ) เมื่อทวงถามก็ไม่มีผู้รับผิดชอบ ให้คำตอบที่เชื่อถือได้ แม้แต่สถาบันที่ผลิต ก็ไม่ได้สนใจ
แม้ในจังหวัดระบบกีดกันเรื่องการศึกษาต่อในอดีต เจ้าหน้าที่หลายคนคงมีประสบการณ์เรื่องนี้ เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน ผู้รับผิดชอบในจังหวัดตอบว่า ไม่ตรงสายงานบ้าง ขาดคนทำงานบ้าง แม้หลายคนจบปริญญาตรีมาแล้ว เมื่อกระทรวงให้โอกาสเปลี่ยนสายงานเพื่อปรับเปลี่ยนระบบเงินเดือนใหม่ ผู้บริหารระดับจังหวัด (นครศรีฯ) ยังอ้างว่าวิชาชีพนี้ขาดแคลน ไม่ให้เปลี่ยน ดูเหมือนจะดีนะเขาเป็นห่วงประชาชน แต่เขาทำร้ายทันตาภิบาลแล้วทันตาภิบาลไม่ใช่ประชาชนหรือ
สรุปแล้ว น่าจะเป็น บทเรียนของตัวพี่เอง หรือโชคชะตาที่ต้องเกิดมาเพื่อทำภารกิจนี้
สำหรับ เด็กรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาเรียนวิชาชีพนี้ 2 ปี อาจจะเสียเวลาเปล่าๆ ถ้าไม่อยู่ในหน่วยงานของรัฐ ไม่มีใบเบิกทาง เอกชนเขาไม่จ้าง นอกจากญาติพี่น้องเป็นทันตแพทย์ แต่ถ้าจะขออาศัยเป็นเส้นทางผ่าน เพื่อมีรายได้ส่งตัวเองเรียนต่อ เพื่อหาอาชีพที่เหมาะสมกับตัวเองใหม่ ก็ โอ เค อาชีพนี้สามารถทำรายได้ ดีในระดับหนึ่ง ที่จะใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจเพียงพอ
ส่วนน้อง ๆทันตาภิบาลที่ทำงานอยู่แล้ว ขอให้ตั้งใจทำด้วยใจ ทำแต่สิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างบริสุทธิ์ใจ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เลือกรับแต่สิ่งดีๆ จากคนรอบข้าง มีความอดทน แค่นี้ พี่คิดว่าน้องๆ คงจะได้รับสิ่งดีๆ และมีความสุขในอาชีพนี้ฝากบอก ทันตแพทย์ทุกคน โดยเฉพาะ 14 จังหวัดภาคใต้ กรุณาให้ข้อมูลความจำเป็นที่ทันตาภิบาลต้องการเปลี่ยนสายงาน ต่อผู้บริหารระดับสูงด้วย อย่าอ้างเพียงว่า เมื่อให้เขาเปลี่ยนไปแล้วจะให้ใครช่วยทำงาน.... จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ
กับชมรมทันตภูธร
พี่คิดว่าชมรมทันตภูธรก่อตั้งขึ้นจากเจตนาดีของทันตแพทย์ภูธรกลุ่มหนึ่ง มีทันตาภิบาลเข้าไปร่วมงานบ้าง ประปราย จากจดหมายข่าว หรือจุลสาร พี่ได้ติดตามมาตลอด เพราะไม่มี สื่ออื่นๆ ในแวดวงของพวกเรา ยอมรับว่าทีมงาน มีความสามารถ น่าจะเป็นมืออาชีพ ในการสรรหา บทความ เนื้อหา สาระดี ๆจากบุคคลที่มีผลงานที่ถือเป็นแบบอย่างได้ อีกทั้งยังมีนักเขียนประจำคอลัมน์ เรื่องราวที่มาผูกเข้ากันแฝงไว้ด้วยความรู้ด้านเทคนิคในวิชาชีพ (ถ้ามีเวลา เก็บมารวมเล่ม เป็น pocket book) ปรับปรุงรูปเล่ม แบบปก สวยงามน่าหยิบอ่านมากขึ้น จริงแล้ว ไม่สวยก็อ่านเกือบทุกเล่มที่ได้รับ ขอให้ทีมงานสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ขอบคุณมากค่ะ
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากครับสำหรับบทความ
แสดงความคิดเห็น