
ฟันกรามร้าว เป็นบทความในคอลัมน์ “ มาเป็นหมอกันเถิด ” เขียนโดย นายแพทย์ สันต์ หัตถีรัตน์ ซึ่งตีพิมพ์ใน “ นิตยสารหมอชาวบ้าน ” ปีที่ 28 ฉบับที่ 333 มกราคม 2550 หน้า 38 - 39 วารสารทันตภูธรขอขอบพระคุณนิตยสารหมอชาวบ้าน ที่ยินดีให้นำบทความมาเผยแพร่เป็นวิทยาทาน โดยไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการค้า
เรื่องฟันเป็นธรรมดาของชีวิต เมื่อสูงวัย เหงือกและฟันก็จะถดถอยอ่อนแอลงตามกาล เมื่ออายุประมาณ 56 ปี ผู้เขียนรู้สึกเจ็บเสียวฟันเวลาเคี้ยวถูกของแข็งที่เป็นเม็ดเล็กๆ เช่น เม็ดฝรั่งและครั้งหนึ่งรู้สึกเจ็บมาก จนร้าวไปทั้งขากรรไกรบนและล่างอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง อาการก็ดีขึ้น และสามารถเคี้ยวอาหารอื่นๆได้ตามปกติ เนื่องจากผู้เขียนมีอาการเช่นนี้บ่อยๆและอาการไม่ดีขึ้นถ้าเผลอไปเคี้ยวถูกอาหารที่เป็นเม็ดแข็งเล็กๆ ผู้เขียนจึงไปพบหมอฟันของโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่
โดยปกติตั้งแต่เล็กจนแก่ ผู้เขียนไปพบหมอฟันน้อยครั้งมาก (จำได้ว่าตอนเล็กๆพ่อพาไปหาหมอฟัน เข้าใจว่าจะเป็นหมอฟันเถื่อน เพราะในสมัยนั้นยังมีหมอฟันปริญญาน้อยมาก พวกผู้ช่วยหมอฟันต่างๆจึงมักจะเปิดร้านทำฟัน อุดฟัน เป็นสำคัญและเครื่องไม้เครื่องมือสมัยนั้นก็ทำให้การทำฟันแต่ละครั้งเจ็บปวดมาก เพราะไม่มีการฉีดยาชา เวลากรอฟันที เสียวตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ดังนั้นตอนเด็กๆจึงไม่ค่อยอยากไปหาหมอฟัน เวลาถอนฟัน(น้ำนม)ทุกซี่ที่ถึงอายุขัยของมัน
ผู้เขียนและพี่น้องจึงมักจะปล่อยให้มันโยกจนหลุดเองหรือคุณพ่อจะใช้ด้ายเส้นใหญ่ๆ สอดเข้าไปรัดไว้ที่โคนฟันแล้วกระตุก รู้สึกเจ็บแปล๊บเดียว ฟันก็หลุดออกมา แล้วเราก็กัดเศษผ้าสะอาดไว้สักพัก พอเลือดหยุดก็บ้วนปาก เป็นอันเสร็จพิธี บางทีก็มีการเก็บฟันนั้นไว้เป็นที่ระลึก หรือโยนขึ้นไปบนหลังคา ให้ฟันที่จะขึ้นใหม่ครั้งหน้ามั่นคงแข็งแรงตามความเชื่อของเด็กๆ ) ผู้เขียนจึงไม่เคยตรวจสุขภาพฟัน ไม่เคยขูดหินปูน ไม่เคยทำอะไรๆกับฟันโดยหมอฟัน อย่างที่เขาโฆษณากันในปัจจุบัน ให้ไปตรวจสุขภาพฟันบ่อยๆขูดหินปูนบ่อยๆ ขัดฟัน เคลือบฟันเป็นประจำเป็นต้น คงเป็นโชคดีของผู้เขียน (และพี่น้องของผู้เขียนด้วย) ที่ไม่มีปัญหาฟันและเหงือก จนถึงกับต้องพบหมอฟัน (เถื่อน) บ่อยๆทั้งที่ไม่เคยตรวจสุขภาพฟันและเหงือกเลย
ตอนเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุย่าง 28 ปี ขณะที่ฝึกงานอยู่ต่างประเทศ ผู้เขียนปวดฟันกรามล่างมากจนคางโย้จึงต้องไปหาหมอฟันเป็นครั้งแรก และพบกรามล่างขวาซี่สุดท้ายงอกขึ้นมาพ้นเหงือกไม่ได้ เพราะไปติดกรามซี่หน้า (ฟันคุด) หมอฟันต้องผ่าตัดเหงือกและงัดฟันคุดออก ทำให้เจ็บไปหลายวัน หลังจากนั้นก็ไม่เคยไปหาหมอฟันอีกเลย เวลาปวดฟันก็หมั่นอมน้ำเกลือบ้วนปากบ่อยๆและแปรงฟันบ่อยครั้งขึ้น ( แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ เดิมตอนเด็กๆ แปรงฟันตอนเช้าครั้งเดียว
ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ จึงรู้จักแปรงตอนเช้าและก่อนนอน พอหลังอายุ 50 ปี มีปัญหาปวดเหงือก ปวดฟันบ่อย จึงเปลี่ยนเป็นแปรงฟันหลังอาหาร 3 มื้อ ) ทำให้อาการปวดเหงือกปวดฟันหายเองภายใน 5-10 วัน โดยไม่ต้องกินยาอะไรแม้แต่ยาแก้ปวด จึงไม่ต้องไปรบกวนหมอฟัน ทั้งที่หมอฟันก็อยู่ในที่ทำงาน (โรงพยาบาล) เดียวกัน แต่เมื่อมันไม่หนักหนาอะไร และก็หายเองได้จึงไม่อยากไปรบกวนเขา เพราะทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าโรงพยาบาลของรัฐส่วนใหญ่ ผู้ป่วยมากจนล้นกำลังของหมอและพยาบาล จึงไม่อยากไปเพิ่มงานให้เขาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
แต่เมื่ออาการปวดเสียวฟันมันเป็นบ่อยขึ้นๆและครั้งสุดท้าย มันเจ็บเสียวไปทั้งหน้าและศีรษะ จนเคี้ยวอะไรไม่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง และบังเอิญเป็นวันหยุดราชการ จึงไปหาหมอฟันในวันรุ่งขึ้น ตอนที่หายปวดฟันแล้ว และเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ หมอฟันตรวจอยู่นานรวมทั้งเอกซเรย์ฟันแต่ก็ไม่พบว่าฟันที่ปวดนั้นมีอะไรผิดปกติ นอกจากสึกไปตามอายุของมันเช่นเดียวกับซี่อื่นๆ จึงถือโอกาสขูดหินปูนให้โดยผู้เขียนก็ยินยอม เพราะอยากรู้ว่าขูดหินปูนแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยขูดหินปูนมาก่อนจนอายุ 56 ปีแล้ว หลังขูดหินปูนรู้สึกว่าเหงือกและฟัน “ โล่ง ” คล้ายกับว่ามันสะอาดขึ้น แต่เหงือกระบม (เจ็บ) ไป 2 วันจึงไม่รู้ว่าคุ้มกันหรือเปล่า
ฟันซี่ที่เจ็บต่อมาก็เจ็บอีก เวลาเผลอไปเคี้ยวอะไรที่ค่อนข้างเล็กและแข็ง เวลาที่เจ็บมากก็ไปหาหมอฟันทุกครั้ง แต่ก็ตรวจไม่พบว่าเป็นอะไร จนครั้งที่ 4 ก็เอกซเรย์พบว่าฟันร้าว หมอฟันก็พยายามเก็บฟันไว้ ( ไม่ถอนฟัน ) โดยใช้ลวดมัดฟันเพื่อไม่ให้ฟันที่ร้าวนั้นแตกออกจากกัน แต่ปรากฏว่ามันกลับทำให้ปวดมากขึ้นๆจนอีก 4 วันต่อมา ต้องไปให้หมอฟันถอดลวดที่มัดออกรวมทั้งถอนฟันซี่นั้นออกด้วย เพราะหมอฟันบอกว่า ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้ฟันที่ร้าวแล้วติดกันได้ และเมื่อพยายามมัดให้มันไม่แตกออก กลับทำให้เจ็บมากขึ้น ก็ต้องถอนออก
ปรากฏว่าฟันกรามซี่ที่ถอนออกมานั้น ดูปกติดี แต่เมื่อหมอฟันใช้เข็มแทงลงตรงศูนย์กลางของหน้าฟัน (ที่ใช้บดอาหาร ) ซึ่งเป็นหลุมๆ ( แอ่งเล็กๆ ) ฟันซี่นั้นก็จะปริออกเป็น 2 ส่วนเกือบจะเท่าๆกัน โดยเห็นรอยร้าวชัดเจน แต่เมื่อดึงเข็มออก รอยร้าวนั้นก็หายไป ( มองไม่เห็น ) นั่นเป็นเป็นสาเหตุว่า ทำไมหนอหมอฟันตรวจและเอกซเรย์ในช่วงแรกถึง 3 ครั้ง จึงตรวจไม่พบ ผู้เขียนรู้สึกเห็นใจหมอฟันทันที ที่ต้องใช้ความพยายามถึง 4 ครั้ง จึงสามารถวินิจฉัยโรคได้ เช่นเดียวกับผู้เขียนบางครั้งก็ต้องใช้เวลา ตรวจแล้วตรวจ อีกหลายครั้งกว่าจะวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยได้ หรือบางครั้งก็วินิจฉัยไม่ได้ แม้แต่อาการป่วยที่เกิดกับตัวเอง แต่เมื่ออาการมันดีขึ้นเองและหายเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์หาโรคให้เจ็บตัว และก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเรารักษา “คน” ไม่ใช่ “ รักษาโรค ”?

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น