วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

“ ทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย อย่างไรให้อยู่รอด ”

เชื่อคำพ่อสอน : “....ความสงบร่มเย็น อาจพูดได้ว่ามีเป็นสองส่วน คือความสงบภายนอกกับความสงบภายใน ภายนอก ได้แก่สภาวะแวดล้อม หรือสภาวะความเป็นอยู่ ที่เป็นปกติ ปลอดโปร่งจากสิ่งรบกวนที่ทำให้เกิดภัยอันตราย หรือเกิดความกระวนกระวายเดือนร้อนต่างๆ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ หรือความขัดแย้งวุ่นวายความมุ่งร้ายทำลายกัน ภายใน ได้แก่จิตใจที่สะอาดแจ่มใส อิ่มเอิบสบาย ไม่มีกังวล ไม่มีความขุ่นเคืองขัดข้องใจ ความสงบภายในหรือจิตใจที่ปลอดโปร่งจากสิ่งรบกวนนี้ สำคัญมาก ควรจะทำให้มีขึ้น เพราะผู้ที่มีจิตใจสงบ จะใช้ความคิดพิจารณาของตนได้อย่างกว้างขวาง และถูกต้องดีขึ้น ความคิดที่ประกอบด้วยความสงบนี้มีศักยภาพสูง อาจนำไปใช้ คิดอ่านสร้างสรรค์สิ่งที่จะอำนวยความสุข ความเจริญก้าวหน้า ตลอดจนชื่อเสียง เกียรติคุณ อันเป็นสิ่งที่แต่ละคนปรารถนา ให้สัมฤทธิ์ผลได้....”พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๓๐วันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙


ทันตแพทย์สมฤทธิ์ จิโรจน์วณิชชากร
( หมอเป็ด ปัตตานี )


เริ่มต้นก็รู้สึกเคืองเล็กน้อยเหมือนกัน ที่คุณวาลี เลขาคท.สต. (คณะกรรมการทันตสาธารณสุขชนบทภาคใต้) โทรมาให้ผมเขียนบทความ เกี่ยวกับ 3 จังหวัด ภายใต้หัวข้อที่ว่า “ ทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย อย่างไรให้อยู่รอด ” ในความหมายแฝง นัยยะว่า ทำได้ยังไงนี่ นี่พื้นที่เสี่ยงภัยน๊ะ อันตรายมากน๊ะตัวเอง ทำไมยังมีชีวิตรอดอยู่ น่าจะตายไปได้แล้วน๊า เป็นไปได้ยังไง....ผมจึงถามพี่วาลีด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อยว่า “ ใครกำหนดหัวข้อนี้ให้ผมเขียนครับ(ว๊ะ). อยากเข้าไป กระโดดกัดคอ ดีดติ่งหู หยิกหัวนม ถอนขนจั๊กแร้ ขยำก้น แล้วไชสะดืออีก 2 ที.” พี่วาลีได้ยินก็ อมยิ้มแล้วตอบว่า “ พี่ตอน (หมอธรณินทร์ ประธาน คท.สต.) เป็นผู้มอบหมาย เอาเลยหมอ พี่เอาด้วย ” พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ ผมก็ยกพี่ตอนให้พี่วาลีดำเนินการตามสมควรต่อไปก็แล้วกัน.......


เราทำงานอยู่ในพื้นที่นี้ เราต้องยอมรับก่อนว่า พื้นที่นี้ เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยจริงๆครับ เราไม่สามารถอยู่อย่างปกติได้ เราและคนรอบข้างต้องปรับอะไรต่อมิอะไรหลายต่อหลายอย่าง อย่างหลายๆต่อหลายต่อ ตั้งแต่ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต วิธีคิด การทำงานฯลฯ มิฉะนั้น เราอาจอยู่ไม่รอด หรือรอดแต่ไม่ปลอดภัย หรือปลอดภัยแต่เครียดจนเป็นบ้า หรือไม่บ้าแต่ขี้ระแวง หรือไม่ขี้ระแวงก็ขี้ระวัง หรือถ้าขี้ไม่ระวังหนามอาจตำก้นได้ อ้าว ไปโน่น.... เรามาดูผลกระทบและการปรับตัวในมุมต่างๆ

@ สสจ....ออกพื้นที่น้อยลง ทำงานออฟฟิตมากขึ้น
@ คลินิค...คนไข้ช่วงเย็นกลับบ้านเร็วปิดคลินิคเร็วขึ้น
@ การเงิน....ใช้เงินน้อยลง มีเงินเก็บมากขึ้น
@ สังคม.... ทุกคนอยู่ในภาวะเครียด แต่รักกันและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น
@ ครอบครัว.....เวลาคลินิคน้อยลง กลางคืนไม่กล้า ออกไปไหน มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น (ไม่ต้องสงสัย มีลูกมากขึ้นแน่นอน)

ลูกชายผมเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น เวลาทำการบ้าน ปกติวิชา สปช (สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต) อาจารย์เขาจะมีให้ตัดข่าว เล่าข่าว (ถ้าอยู่พื้นที่อื่น ลูกชายคงตัดข่าวประเภท ประกวดนางงาม อาหารการกิน ท่องเที่ยว) แต่ลูกชายผมอยู่ในพื้นที่ฯ หัวข้อข่าว จึงมักปรากฏในแนวสร้างสรรค์ ดังนี้ “หน่วยกอบกู้ระเบิดพันธุ์ใหม่”,“เหตุไฉน เรือใบแล่นบนบก”,“สลด นกคาบข่าวถูกเก็บ”,“สะเก็ดระเบิด เกลื่อนถนน ”,“ ไร้เงาคน เที่ยว 3 จังหวัด ”,“ โอ๊ะโอ ปลัดถูกยิง ”“ตำรวจใจเพชร พิงกำแพง ยิงโจรใต้”,“ไม่หายใจแล้ว นายอำเภอ”,“ระเบิดจนเบลอ แล้วเผลอระเบิดตัวเองน๊ะไอ้โง่โจร” เป็นต้น....




....เอาเป็นว่า ท่ามกลางความรู้สึก สถานการณ์ที่ไม่ดี ก็ยังคงมีสิ่งดีๆปรากฎให้เห็น นั่นคือความห่วงใยไม่ว่าผมไปประชุมที่ไหน ก็มีพี่ๆ เพื่อนๆน้องๆถามถึงสถานการณ์ แสดงความห่วงใยอยู่ “ เป็นไง...ยังไม่ตายเหรอ เห็นยิง ระเบิดกันทุกวัน ” น่าน! เจอเข้า จุกเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ตอบ อีกคนก็มาแสดงความห่วงใยซ้ำ “ อ้าว ! นึกว่าวิญญาณ ” อึก! จุกลึก พี่อีกคนก็เข้ามาปลอบ “ ไปพูดอย่างนั้นกับเขาได้ยังไง..ไม่เป็นไรหรอกนะ ใจเย็นๆ อย่าพึ่งย้ายไปไหน อีกไม่นานเหตุการณ์คงสงบแล้ว ” ฟังดูใจชื้นขึ้น และพี่เขาก็พูดตบท้ายว่า “ พอสงบแล้วเขาคงให้เอ็งเป็นทันตแพทย์ประจำพระองค์ สุลต่านรัฐปัตตานี ได้ข่าวว่าสนิท กับหัวหน้าผู้ก่อการร้ายไม่ใช่เหรอ ”........ อ้าว!หาคุกให้แล้วไหมล่ะ ......คุยกันสนุกๆนะครับ


ยังไงก็ตามหลายๆคน(ยัง) อยู่ในพื้นที่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่า นี่คือบ้าน จะให้ไปไหน บางคนบอก นี่คือที่ที่เขาเริ่มต้นชีวิต คนที่นี่ให้โอกาสแก่เขา น้อยคนจะบอกว่าอยากอยู่ที่นี่เพราะที่นี่ทำเงิน เป็นขุมทรัพย์ ได้เงินเสี่ยงภัยพิเศษ (เพิ่มอีก 1หมื่น) และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ยังไงๆก็จะอยู่ ถึงแม้เหตุการณ์จะเลวร้ายกว่านี้ ความรู้สึกดีๆต่อพื้นที่นี้ ต่อคนที่นี่มันลงลึก เหนือเหตุผลทั้งปวง.... ผมยืนยันว่าทันตบุคคลากรที่นี่ มีเลือดมีเนื้อ มีพ่อมีแม่ ( และพ่อแม่ยังรัก ) หลายๆคนมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกที่ต้องคอยเป็นห่วงเป็นใย ถ้าอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผล.....ผมบอกได้เลยว่าไม่มีเหตุผลไหนคุ้มค่าทดแทนกับการอยู่กับความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินทั้งต่อตัวเราและคนที่เรารักแม้แต่นาทีเดียว และบอกได้เลยว่า การทำงานในที่นี้ ยังไม่มีสูตรสำเร็จของความอยู่รอดปลอดภัย....


“ แต่ไม่ว่าจะอยู่ด้วยเหตุผลใด ไม่ว่าจะมีความคิดหรือตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างไรพวกเราทันตบุคลากรใน 3 จังหวัดที่ประสบวิกฤตการก่อความไม่สงบ เราตระหนักในหน้าที่ เราอยู่ที่นี่อย่างมืออาชีพ เรายังเป็นตัวแทนวิชาชีพอยู่ใช่ไหม... ตัวแทนที่ต้องดูแลช่องปากของพี่น้อง 3 จังหวัดที่ยังอยู่ในแผนที่ ผืนแผ่นดินไทย...”


ต้องขอขอบคุณทุกท่าน ที่ส่งความระลึกถึง ความห่วงใย ให้เราอยู่เป็นประจำ ทั้งมาด้วยตัวเอง (ในรูปของทันตแพทยสภา ทันตแพทยสมาคม คณะทันตแพทยศาสตร์มอ. อาจารย์อมรา และทีมงานจากมหิดล คท.สต. คมช. นปก. ผสส. อสม. ขจก.และพกง.) รวมทั้ง ทางโทรศัพท์ และฝากมาเป็นทอดๆในบางครั้ง ต้องขอขอบคุณทุกท่านจริงๆครับ ?

0 ความคิดเห็น: