วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

“ คุยกับทันตแพทย์ ไพรัช กาวประเสริฐ ”



สัมภาษณ์โดย ทพญ.เมธ์ ชวนคุณากร รพ.สังขละบุรี


เราถูกส่งตัวเข้าไปอบรมงาน HNQA ในฐานะหัวหน้าฝ่าย / หัวหน้างานในโรงพยาบาลสังขละบุรี จึงได้พบกับวิทยากรหลักเป็นทันตแพทย์เสียด้วย พอเข้าไปคุยด้วยปรากฏว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับพี่แพรกับพี่เฮ้าส์ (ทพ.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล) อดีตกรรมการทันตภูธรซึ่งปัจจุบันเป็นกรรมการทพ.สภา แล้วยังบังเอิญเป็นสามีเพื่อนทันตฯ มช.รุ่นเดียวกับเราอีกต่างหาก เราจึงไม่ลังเลที่จะสัมภาษณ์มาเล่าสู่กันฟัง เป็น 7 คำถามที่ได้พูดคุยกับพี่ไพรัช แต่หากสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มก็ติดต่อโดยตรงได้ที่
kpairach@yahoo.com นะจ๊ะ


@ ประวัติการศึกษา
> โรงเรียนวัดบางลายใต้ อ.โพทะเล จ.พิจิตร ,โรงเรียนสาธิตเกษตร , จบทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์-มหาวิทยาลัย ปี 2533, ปริญญาตรีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สาขาการจัดการทั่วไปและบัญชี และจบอนุมัติบัตรสาขา ทันตกรรมทั่วไป มหาวิทยาลัยมหิดล



@ ประวัติการทำงาน
> อยู่รพ.โพทะเล 7 ปีแรก ระหว่างนั้นได้ไปเรียนต่อ Super GP ที่มหิดล จบกลับมาอยู่รพ.โพทะเลอีก 2 ปี แต่งงานเปิดคลินิก จึงได้ย้ายมาอยู่ รพ.บางมูลนาก จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นโรงพยาบาล 90 เตียง มียูนิต 4 ตัว, ทันตแพทย์ 4 คน , ทันตาภิบาล 3 คน


@ เริ่มเข้ามาทำงานเกี่ยวกับพัฒนาคุณภาพได้อย่างไร
>ผมเป็นประธานอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพหรือหัวหน้าศูนย์คุณภาพโรงพยาบาล เมื่อปี 2541 และโรงพยาบาลบางมูลนาก ผ่านการรับรอง HA เมื่อปี 2545



@ เข้ามาเป็นวิทยากร หลักสูตรมาตรฐานบริการสาธารณสุขได้อย่างไร ( PHSS - Public Health Service Standard ของกระทรวงสาธารณสุข )
>ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ปรึกษาพัฒนาคุณภาพประจำจังหวัด(QRT) ได้ศึกษาความรู้เกี่ยวกับคุณภาพมาพอสมควรและมีโอกาสนำความรู้มาปฏิบัติจนได้ผลสำเร็จพอสมควร เมื่อสำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพจัดให้มีการสอบ QI (วิทยากรคุณภาพ) จึงได้สมัครสอบQI เพื่อวัดความรู้ของตัวเอง การสอบQI นั้นมีอาจารย์ ชูชาติ วิรเศรณี ที่ปรึกษาการพัฒนาคุณภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นผู้สอบ และวางใจให้เป็น หนึ่งในผู้สามารถเป็นหัวหน้าทีมในการบรรยายได้ เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว และผมได้เริ่มเดินสายเป็นผู้บรรยาย หลักสูตรมาตรฐานบริการสาธารณสุข ให้กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มาได้ 3 ปี


@ คิดว่าทันตแพทย์มีจุดเด่นจุดด้อยในการทำงานคุณภาพอย่างไรบ้าง
>จุดเด่นคือทันตแพทย์เมื่อมาทำงานนี้มักจะได้รับการยอมรับ
จุดด้อยคือสภาหรือสมาคมวิชาชีพของเรามีความสนใจในเรื่องคุณภาพบริการที่ให้แก่คนไข้น้อยกว่าสภาวิชาชีพอื่น สภาหรือสมาคมวิชาชีพทันตแพทย์มุ่งเน้นวิชาการและเพื่อวิชาชีพเท่านั้น ยกตัวอย่าง สภาการพยาบาลมีการทำเรื่อง "การประกันคุณภาพทางการพยาบาล" ,ส่วนแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุขจะลงมาจับงานคุณภาพเป็นส่วนใหญ่ (เช่น HA ) แม้ว่าแพทยสภาจะไม่มีบทบาทชัดเจนนัก เป็นต้น


@ มองงานพัฒนาคุณภาพและประกันคุณภาพทางทันตกรรมเป็นอย่างไร
> ผมมองว่าก่อนที่จะมีการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ควรผ่านการเยี่ยมสำรวจเพื่อ " สนับสนุน " การประกันคุณภาพจากสภาวิชาชีพก่อน เหมือนกับงานเภสัชกรรม, หรือเทคนิคการแพทย์ เพราะถ้ามองในแง่สังคมจะเกิดคำถามว่าวิชาชีพเรามีบทบาทในการประกันคุณภาพให้กับประชาชนหรือไม่ เนื่องจากการรับรองคุณภาพโรงพยาบาลไม่มีผู้เยี่ยมสำรวจ ทุกสาขาวิชาชีพในการเยี่ยมสำรวจแต่ละครั้งและมุ่งเน้นระบบการบริหารจัดการมากกว่าซึ่งคำแนะนำ ก็คงจะไม่ลึกซึ้งชัดเจนเหมือนวิชาชีพเดียวกันอย่างแน่นอน



@ งานอื่นๆ ที่คิดว่ามีสีสันสำหรับตนเองนอกจากงานพัฒนาคุณภาพบ้างไหม
> งานคลินิกเด็กดี หากมีการทำงานที่มีขอบเขตชัดเจนก็สำเร็จได้ไม่ยาก ผมมีแนวคิดว่าเวลาให้ความรู้ ควรบันทึกระดับความรู้ของผู้ปกครองทุกครั้งด้วยเพื่อดูว่ามีพัฒนาการไหม ผมจะให้ทันตาภิบาลสอนทันตสุขศึกษาทุกครั้งที่มีคลินิก EPI โดยเน้นแค่สามเรื่องคือ การเลิกดื่มนมขวด, การทำความสะอาดช่องปาก และการลดอาหารหวาน ผลลัพธ์คือมี Caries Free ประมาณ 90% ในเด็กอายุขวบครึ่งงานอนามัยโรงเรียน ผมใช้แนวคิดเรื่อง "คุณภาพ" ที่บรรยายใน หลักสูตร "มาตรฐานบริการสาธารณสุข" อยู่เสมอคือเรื่อง "สิ่งส่งมอบ"


เบื้องต้นที่ชุมชนได้รับจากการทำงานของเรา ( แต่เรามักจะทำแต่ "ไม่ส่งมอบ" ให้กับชุมชน ) ซึ่งได้แก่ ผลการสำรวจ ข้อวินิจฉัยชุมชน คือ เราทำอะไรได้ผลอย่างไรต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบเสมอ เราจึงแจ้งผลการตรวจฟันนักเรียนที่เราพบเมื่อไปออกหน่วยถอนฟันให้กับโรงเรียน ทำให้เราได้ผลสะท้อนจากครู คือ ครูจะดูแลเด็กดีขึ้นและส่งเด็กมาทำฟันนอกเหนือจากบริการปกติของโรงพยาบาลมากขึ้น มีการทำกิจกรรมที่ไม่ได้ขอให้เขาทำ แต่เคยทำให้ดูได้แก่การย้อมคราบจุลินทรีย์หลังแปรงฟันเป็นต้น ข้อวินิจฉัยชุมชน ที่ได้ทำอย่างง่าย ๆ คือ นำรายงานผลที่เราทำนั้นมาเปรียบเทียบกันระหว่างโรงเรียนต่างๆ ให้เขารู้ว่านักเรียนของเขามีสุขภาพฟันเป็นอย่างไร


เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่น หน้าที่ของทันตแพทย์ในงานอนามัยโรงเรียนคือ เป็นผู้รักษาและให้ข้อมูลที่โรงเรียนควรได้รับจากผู้ปฏิบัติในวิขาชีพทันตกรรม (สิ่งส่งมอบ) ส่วนครู มีหน้าที่บ่มเพาะนิสัยและฝึกทักษะให้กับเด็ก เราควรให้แต่ละคนทำบทบาทที่สำคัญของตนเองในสังคม และช่วยให้ครูรู้สึกว่า "ได้รับการยอมรับจากสังคม" ดั้งนั้นถ้าเราให้ "สิ่งส่งมอบ" กับชุมชนถูกที่ถูกเวลา อาจเป็นครูใหญ่ ,ผู้ปกครอง , หัวหน้าชุมชน ที่ช่วยผลักดันการดูแลเด็กในด้านสุขภาพและการศึกษา นั่นคือ การทำงานเฝ้าระวังโดยใช้ "สิ่งส่งมอบ" (คือข้อมูลที่เป็นปัญหา) แก่ชุมชน เพื่อให้ชุมชนเห็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาด้วยตัวเขาเอง เห็นทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เขาจะไม่รู้สึกว่าเราเอาภาระงานไปให้ และที่สำคัญคือ "สิ่งส่งมอบ" สำหรับชุมชนที่เกี่ยวกับผลการสำรวจ ข้อวินิจฉัยชุมชน จากโรงพยาบาลน่าจะรวมเข้าด้วยกัน(บูรณาการข้อมูลจากหลายหน่วยงาน)จะส่งโดยใครก็ได้ไม่ต้องรอทันตแพทย์เท่านั้นที่ต้องส่งมอบแต่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์นั้น ๆ


ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ ทุกคนชี้คนอื่นว่าต้องทำอะไร โดยไม่ชี้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ไม่สามารถหาจุดร่วมกันในการทำงานได้ บางที "สิ่งส่งมอบ"ในมาตรฐานบริการสาธารณสุข อาจเป็นคำตอบให้ทุกคนในโรงพยาบาลร่วมกัน "ส่งมอบ" ให้กับประชาชน




@ ชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง
> ผมมีลูกชาย 1 คนอายุ 10 ปี หลักการเลี้ยงดูลูกของผม คือให้ลูกใกล้ชิดเรา เด็กเล็กจะความจำดีมีสมองเหมือนคอมพิวเตอร์ ใส่อะไรลงไปก็ได้ก่อน 3 ขวบ (อันนี้ต้องขอขอบคุณพี่ตี๋ ทพ. ไพฑูรย์ สายสงวนสัตย์ รพ.สมเด็จพระญาณสังวร จ.เชียงราย เป็นผู้บอกผม) ผมจะเอา A B C, ก ข ค กล่อมลูก, ฝึกทักษะการใช้มือ เช่น การวาดรูป ผลก็คือ เขาอ่านออกเขียนได้เร็วกว่าเด็กคนอื่น ส่วนด้าน EQ ผมเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย ผมจะไม่ตามใจเขา พยายามสอนให้เด็กมีเหตุผลซึ่งทำได้ยาก เพราะว่าเด็กไม่เข้าใจเหตุผล


ผมอ่านหนังสือเขาบอกว่า วิธีการให้รางวัลแก่เด็ก คือ การยิ้ม, โอบกอด และการลงโทษเด็กคือทำเพิกเฉย ไม่สนใจเขา จริงๆ แล้วสิ่งที่เด็กต้องการคือ "ความรัก" ในการปรับพฤติกรรม ผมคิดว่าการลงโทษด้วยการดุ , การว่ากล่าวและให้เหตุผล เป็นการลงโทษที่ดีกว่าการไม่สนใจ มิฉะนั้นแล้วเด็กจะเรียกร้องความสนใจด้วยการทำไม่ดี แต่การลงโทษนั้นพ่อแม่ต้องรู้ตัวเองว่า ไม่ได้ใช้อารมณ์และต้องมีสติว่าจะทำอะไรกับลูก ด้วยเหตุผลอะไร บางทีเราทำผิดก็จะขอโทษ ผมเชื่อว่าพฤติกรรมของเด็กมีสาเหตุเสมอ เช่น ทำไมเด็กถึงดื้อ, ทำไมเด็กจึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี ส่วนใหญ่เราต้องค้นหาสาเหตุด้วยการ "ฟัง และสังเกต" ให้ดี


@ มีอะไรจะแบ่งปันกับพี่น้องร่วมวิชาชีพบ้าง

- เรื่องการทำงานของน้องใหม่ที่ไปเป็นหัวหน้าเขา ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้อำนาจ ปกติคนอื่นมักจะเกรงเราอยู่แล้ว แต่เรากลับรู้สึกว่าลูกน้องไม่เกรงใจ เราจึงแสดงอำนาจใส่เขา เขาก็จะเริ่มปิดกั้นแล้วปัญหาก็จะตามมา

- อยากเห็นทันตแพทยสภาลงมาดูแลเรื่อง คุณภาพบริการต่อประชาชน

- งานทันตกรรมชุมชนในประเทศไทย ทำงานวิชาการแบบไม่วิชาการ ส่วนใหญ่เราทำงานแบบมวยวัด ฉะนั้นการทำงานเราควรศึกษา, หาข้อมูลศาสตร์ต่างๆ ก่อน design งานของเราด้วย จะพบว่ามีคนที่เคยคิด เคยฝันอย่างเราและล้มเหลวมาแล้ว เราจะได้เรียนรู้จากเขาแล้วพัฒนาในก้าวต่อไปได้ ดีกว่ามาตกหลุมเดิม การทำงานวิชาการในชุมชนน่าจะให้ทันตแพทยสภาหรือมหาวิทยาลัย เป็นจุดเชื่อมต่อคือ ให้มหาวิทยาลัยเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน เช่น โครงการวิจัยจากคณะฯ ลงชุมชน หรือ ร่วมกับการฝึกงานของนักศึกษาทันตแพทย์ เป็นโครงการต่อเนื่อง เช่นปีแรกให้นักศึกษาร่วมสำรวจปัญหา , ปี2 ทดลองแผนงาน / โครงการต่างๆ จะทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้เรียนรู้ไปด้วย งานสายวิชาการของทันตแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนน่าจะเติบโตทางนี้


0 ความคิดเห็น: