วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไกลเกินช่องปาก ลึกกว่าคอหอย return: เข้าใจความยากจนในชนบท



โดย หมอปลิว จากแดนใต้


โลกกว้างใบนี้นั้นมากมายไปด้วยความสุขและความทุกข์ปะปนกัน มีความแตกต่างมากมาย ชีวิตหลายชีวิตในชนบทที่เกิดมาก็หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ขยันขันแข็งทำมาหากิน ไม่เคยขี้เกียจ ไม่เคยนอนตื่นสาย ไม่เคยคดโกงลักขโมยของใคร แต่ก็ยังยากจน


คนชนบทถึงจะจนอย่างไรส่วนใหญ่ก็ยังสู้ ...ครอบครัวคนจนเอาทุกอย่างทั้งปลูกข้าว เลี้ยงหมู ปลูกผัก หาปลา ทำงานหัตถกรรม ช่างไม้ รับจ้างเป็นแรงงานก่อสร้าง ทำงานโรงงาน จนถึงขายแรงงานต่างแดน ดิ้นรนทุกภาคเศรษฐกิจเพื่อการอยู่รอด แปลว่าคนไทยในชนบทนั้นอยู่ในทุกภาคเศรษฐกิจ ทั้งการ ยังชีพ ,เกษตร, อุตสาหกรรม และด้านบริการ อยู่ในทั้งเศรษฐกิจที่ทันสมัยและดั้งเดิม บางส่วนเข้ามาดิ้นรนในเมืองสร้างเศรษฐกิจนอกระบบในเมือง ถ้ามองให้ดี สิ่งเหล่านี้เป็นหยาดเหงื่อที่งดงามของสังคม แม้ว่าเขาขยันและซื่อสัตย์ แต่ปีแล้วปีเล่าผ่านไปชีวิตก็ไม่มีวี่แววที่จะดีขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ชาวบ้านในชนบทเขาผิดตรงไหน


ในอดีตการอธิบายความยากจนนั้น มักใช้ทฤษฎี " โง่ จน เจ็บ " ว่าเป็นวัฏจักรที่ทำให้คนชนบทนั้นยากจน แต่ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของตัวบุคคล แต่เป็นความไม่เป็นธรรมของระบบ เพราะระบบปิดกั้นโอกาสของชาวบ้านชาวบ้านจึงยากจน เช่น สับปะรดราคาลูกละ 50 สตางค์ ทั้งหวานทั้งอร่อย แต่ไฉนราคาเท่ากับลูกชิ้น 1 ลูก นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่า ความยากจนในชนบทเป็นเพราะระบบที่เอารัดเอาเปรียบคนจน ซื้อสับปะรดราคาต่ำไปทำสับปะรดกระป๋องราคาดี ส่วนต่างผลกำไรก็อยู่ที่บริษัทใหญ่ไม่ใช่ชาวบ้าน


อีกทั้งคำว่า "พัฒนา" นั้นถูกมองเพียงแค่การเจริญเติบโตทางด้านวัตถุ เช่นถนนหนทาง สิ่งก่อสร้าง ตึกระฟ้า แต่เราไม่ค่อยคิดถึงการพัฒนาคน ,พัฒนาองค์ความรู้ ,พัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งยังเป็นระบบที่ดูดทรัพยากรจากชนบทมาสู่เมืองใหญ่ และดูดจากเมืองใหญ่ไปสู่เมืองนอก เด็กที่จบปริญญาตรีมีสักกี่คนที่กลับมาพัฒนาบ้านเกิดอย่างเต็มใจ เวลากว่า 40 ปีของการพัฒนาประเทศ ปัญหาในสังคมโดยเฉพาะในชนบทก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ช่องว่างทางสังคมที่เกิดขึ้น ยังคงถ่างกว้าง หนี้สินของชาวบ้านพอกพูนควบคู่กับความยากจน
ปัญหาหนี้สินของชาวบ้านหรือคนยากจนทั้งเกษตรกรหรือกรรมกร มักถูกสังคมมองว่า เกิดจากความฟุ่มเฟือย ใช้เงินไม่เป็น แต่ผิดด้วยหรือ ที่เขาต้องการมีบ้าน , ต้องการส่งลูกให้เรียนสูงๆ ,มีรถสักคันที่สารพัดจะใช้งาน รวมทั้งบรรทุกเมียไปคลอดลูกหรือบรรทุกแม่ยายไปเผา เขาก็มีความต้องการที่ไม่น้อยกว่าคนชั้นกลาง ไฟฟ้าก็มี, น้ำประปาก็ต้องจ่าย, ทีวีก็ต้องดู, ตู้เย็นก็จำเป็น ความต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า หรือนี่คือความฟุ่มเฟือย นี่คือความรู้สึกจากปากของคนที่เป็นเกษตรกร




10 ปีมาแล้วที่ราคาพืชผลทางการเกษตรแทบไม่เพิ่มขึ้น ทั้งราคายังลดลงอีก แต่ราคาสินค้าอื่นขึ้นทั้งหมด รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางสุขภาพด้วย รายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นทางออกที่มีก็เช่น การทำการเกษตรอื่นๆ เสริม แต่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน บ้างก็ไม่ถนัดที่จะทำเกษตรอย่างอื่น อาชีพเสริมนั้น ก็มักจะเพียงพอแค่ประทังชีวิตเท่านั้น ไม่สามารถปลดหนี้ได้ และถ้าทุกคนมาทำอาชีพเสริม สินค้าก็คงล้นตลาดอยู่ดี


เมื่อหนี้สินพอกพูน ทำให้ที่ดินทำกินที่จำนองไว้ก็ถูกยึด การไปรับจ้างแรงงานในโรงงานก็ใช่ว่าเขาจะรับทุกคน รายได้เพียงวันละ 130 บาท คนโสดไม่มีภาระคงพอไหว แต่มีครอบครัวย่อมไม่พอแน่ หนทางสุดท้ายจึงต้องไปบุกรุกแผ้วถางป่าสงวน เพื่อให้มีที่ดินทำกินไม่ใช่เพื่อจ่ายหนี้ แต่เพื่อปากท้อง


อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้บอกว่า ความรุนแรงนั้นมีหลายระดับชั้น ความรุนแรงทางตรงเช่นการฆาตกรรม สงครามเป็นสิ่งที่เห็นง่าย แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เช่นกรณีของคนยากจนในชนบท ทั้งๆที่ขยันขันแข็งไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ก็ยังยากไร้สิ้นดี ทั้งนี้เพราะโครงสร้างของระบบสังคมที่เป็นอยู่เป็นระบบที่ไม่เกื้อกูลคนจน เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่กระทำต่อคนจน แม้คนจนจะดิ้นรนอย่างไรก็หนีไม่พ้นความจน จะขยันทำงานวันละ 20 ชั่วโมง ก็อาจมีเพียงข้าวกินพออิ่มท้องไปวันๆ


โลกนี้พัฒนาไปในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่ยิ่งใหญ่ คนยากจนก็เป็นได้เพียงคนสวน คนทำความสะอาด ยาม คนเก็บรถเข็นในห้าง อภิสรรพสินค้า หรือเป็นเพียงคนตัดหัวปลาใส่กระป๋องที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำในโรงงานเท่านั้น ในขณะที่อุดมคติที่ควรจะเป็นนั้น เขาควรจะได้รับการพัฒนาให้เป็นเกษตรกรอิสระในที่ดินของตนเอง ที่สามารถสร้างสรรค์ชีวิตอย่างเป็นอิสระใต้ฟ้าเดียวกับคนชั้นกลางอย่างเราต่างหาก จึงเป็นการส่งเสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน



ในท่ามกลางการพัฒนาได้พิสูจน์แล้วว่า คนจนกำลังมีจำนวนมากขึ้น และคนจนก็จนลงกว่าเดิมด้วย ช่องว่างคนรวยและคนจนถอยห่างออกจากกันมากขึ้นทุกวัน เมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ตนเองก็จะถูกปลดออกจากงานก่อน อยู่ในสลัมในเมืองก็ถูกเวนคืนก่อน กลับไปในชนบทก็สูญเสียที่ดินก่อน เมื่อเข้าไปจับจองป่าสงวนก็ถูกจับกุมก่อน แม้ยามเจ็บป่วยไปโรงพยาบาลใช้สิทธิที่รัฐบาลสัญญาไว้ โรงพยาบาลก็บอกให้รอก่อน จนคนจนบางคนรอไม่ไหว ตายไปก่อนเพราะรอไม่ไหวก็มีให้เห็น นี่ต้องถือว่าเป็นผลจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ( structural violence ) ไม่ใช่ว่าใครจะเจตนาทำร้ายรังแกคนจน แต่ตัวระบบและโครงสร้างนั่นเองเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันถึงเพียงนี้


ทรัพย์สินของเศรษฐี 200 คนแรกของโลกรวมกัน มีมูลค่ามากกว่ารายได้ของคน 41% หรือ 2,500 ล้านคนทั่วโลกรวมกัน ยอดขายของห้างคาร์ฟูสัญชาติฝรั่งเศสที่มีสาขาทั่วโลกเกือบ 5,000 แห่ง มียอดขายในปี 2543 ถึง 64,800 ล้านยูโร หรือแปลว่ามากกว่างบประมาณของประเทศไทยทั้งปีถึง 2 เท่า เพราะโครงสร้างที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผูกขาดความร่ำรวย จึงทำให้คนจนจนลงไปเรื่อยๆ นี่คือโครงสร้างสังคมที่ไม่ยุติธรรม


ทันตบุคลากรน้อยคนที่จะเคยมีประสบการณ์ที่มีข้าวกินไม่ครบมื้อ มีเพียงผ้าห่มที่ขาดวิ่นห่มในฤดูหนาว มีบัตรทองแต่ไม่มีเงินเสียค่ารถมาโรงพยาบาล ไม่มีที่ดิน ไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน เมื่อนั้นแล้วเราจะตระหนักและรู้ว่าความยากจนนั้นเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของสุขภาพ คนยากจนทุกคนล้วนขยัน ขันแข็งจนเหม็นเหงื่อเวลามาพบหมอ ก็ขอให้ ทันตบุคลากรที่ต้องดูแลสุขภาพช่องปากของเขาเริ่มต้นที่การเข้าใจคนจนก่อน หากอยู่โรงพยาบาลของรัฐก็ขอให้ทำงานให้เต็มกำลัง หากอยู่คลินิกส่วนตัว ลดราคาค่ารักษาลงมาเพื่อลดช่องว่างทางสังคมลงมาบ้างก็จะดีไม่น้อย


1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณครับสำหรับบทความ