วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทักทายบรรณาธิการ



ดิฉันมีโอกาสกลับไปเยือนโรงเรียนทันตแพทย์เก่าแก่ที่เรียนจบมาเมื่อหลายปีก่อนในฐานะผู้บรรยาย ได้เล่าให้น้องๆฟังถึงงานบรรณาธิการอาสาเพื่อวิชาชีพทันตบุคลากร การประสานงานติดต่อกับผู้คนมากมายหลากหลาย การรวบรวมบทความข่าวสาร ย้อนความไกลไปถึงความหลังในช่วงเวลาที่ทำงานรับราชการใช้ทุน แต่น้องๆเป็นนักเรียนทันตแพทย์ปี 2 ยังไม่ได้เรียนคลินิก ยังไม่รู้จักคนไข้ น้องๆส่วนใหญ่ จึงยังไม่เข้าใจกิจกรรมทันตสาธารณสุขชุมชน และการสื่อสารทางเดียวผ่านวารสารทันตภูธรทุกทิศทั่วไทยที่ได้เล่าให้น้องๆฟังสักเท่าใดค่ะ อาจเพราะดิฉันเองที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เดิมเข้าใจว่ามีเวลาเพียง 1ชั่วโมง แต่กลายเป็นว่ามีเวลาพูดถึง 2 ชั่วโมงเชียวค่ะ

เมื่อเตรียม slideไปไม่กี่ภาพก็บรรยายไปตามภาพที่เตรียมมา พูดไปเรื่อยๆ เวลายังมีอีกเหลือเฟือ จึงถามน้องเล่นๆ ว่าทราบไหมว่า ตอนนี้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี มีเสียงตอบรับกันเกรียวกราว ดีใจค่ะ ที่เด็กๆสนใจเรื่องการเมืองบ้าง อย่างน้อยการเมืองคือวิถีชีวิตที่พวกเขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจนะคะ เราคุยกันถึงคนดังๆ คนหน้าเหลี่ยมคนหน้าด้านกันพอสนุกสนาน น้องๆมีความรู้และสนใจการเมืองในระดับที่พอใช้ได้ คึกคักกันขึ้นมาทันทีทันใดค่ะ ชื่นใจที่น้องๆกล้าพูดเรื่องร้อนๆ

ถึงอย่างไรก็ตาม ดิฉันไม่ลืมบอกน้องๆปี 2 ว่าหากมีปัญหาใดๆเมื่อยามไปใช้ทุนในหน่วยงานของรัฐบาล เปิดอ่านวารสารทันตภูธร จะมีพี่ๆชมรมทันตสาธารณสุขภูธร คอยเป็นที่ปรึกษาของน้องๆเสมอ เล่าสู่กันฟังฉันเพื่อนพี่น้อง ปลอบขวัญให้กำลังใจกันบ้างก็ยังดีนะคะ

หลังจบการบรรยายมีการสรุปงานกลุ่มย่อย บางท่านแสดงความเห็นว่า การประเมินผลวิชาเรียนที่เสริมสร้างมโนสำนึกแก่นักเรียนทันตแพทย์นั้นทำได้ยาก เพราะเป็นนามธรรม วัดผลไม่ได้ทันทีและมักจะไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร ดิฉันมีความเห็นว่าถึงแม้จะเป็นงานที่จับต้องไม่ได้ แต่ดิฉันเชื่อว่าสัมผัสได้ด้วยหัวใจและมีอยู่จริงค่ะ การสร้างโอกาสให้นักเรียนทันตแพทย์ได้พบเจอบุคคลที่หลากหลาย นั่นก็เป็นการสร้างสรรค์กระบวนการการเรียนรู้ของนักเรียนทันตแพทย์ตามธรรมชาติแล้วค่ะ เมื่อน้องๆจบมาทำงานเป็นทันตแพทย์ น้องเขาเลือกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะเจอคนไข้แบบใด เจอเพื่อนร่วมงานแบบใดนะคะ

ดิฉันได้ใช้โอกาสนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลจริงจากทันตแพทย์ผู้อ่านวารสารทันตภูธรที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด เชื่อมโยงให้วงสนทนาผู้บรรยายในสถานศึกษาเก่าแก่กลางเมืองหลวงรับทราบถึงปัญหาจากทันตแพทย์ผู้ใช้ทุนในภูธรที่มักพบเจอได้บ่อยๆ ทำให้ดิฉันตั้งข้อสังเกตว่า หรือบางทีอาจเป็นเพราะน้องทันตแพทย์ที่เรียนจบจากโรงเรียนทันตแพทย์ส่วนใหญ่ ไม่ได้รับการเตรียมความพร้อมเบื้องต้นเพื่อให้เรียนจบออกมาแล้ว สามารถเผชิญปัญหาและบริหารจัดการปัญหาต่างๆจากการทำงานทันตสาธารณสุขในชุมชน อย่างเหมาะสมตรงตามสภาพความเป็นจริงที่พบเจอได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น น้องๆอาจทำงานอยู่ในชุมชนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของประชาชน , องค์กรต่างๆทุกภาคส่วนอย่างรวดเร็วด้วยความยากลำบาก เมื่อปรับตัวไม่ได้ ทำงานไม่มีความสุข อึดอัดไม่เข้าใจ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทันตแพทย์รุ่นใหม่ๆ จะลาออกกันมากขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้เรียกกันโดยทั่วไปในวงการสาธารณสุขไทยว่า “รั่ว”

ข่าวกรองแว่วมาว่า ต่อจากนี้ไปอีกไม่กี่ปี อาจเป็นช่วงที่น้องๆ ปี 2 ที่ดิฉันได้พบ เรียนจบเป็นทันตแพทย์ ในวันนั้นทันตาภิบาลอาจปรับหลักสูตรใหม่เป็นทันตาภิบาล 4 ปี เน้นทำงานส่งเสริมป้องกัน ทำงานวิจัย ไม่ทำงานรักษาและไม่สามารถฉีด nerve blog ได้ (แต่ infiltrate ได้)? ในขณะที่หลักสูตรทันตาภิบาลเพื่อนร่วมงานผู้ใกล้ชิดของทันตแพทย์กำลังจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลักสูตรทันตแพทย์จะเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของงานทันตสาธารณสุขชุมชนมากน้อยเพียงใดคะ ?

เป็นที่ทราบกันดีค่ะว่า ทักษะในงานรักษาทางคลินิกเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของวิชาชีพทันตแพทย์ ซึ่งทัศนคตินี้มีมานานแสนนานมากแล้วล่ะค่ะ แต่ดิฉันเชื่อว่านักเรียนทันตแพทย์ทุกคนมีศักยภาพมากกว่านั้นนะคะ และจำเป็นต้องได้รับการชี้แนะ แนวความคิดให้สร้างสรรค์เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันทางใจ เพื่อสร้างทักษะใหม่ๆในการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมกับบริบทแวดล้อมในชุมชนตามความเป็นจริงเพิ่มมากขึ้น ในอนาคตเมื่อทันตาภิบาลเข้าสู่หลักสูตรใหม่ น้องๆทันตแพทย์อาจต้องทำงานรักษาอย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (หากการทำงานส่งเสริมป้องกันยังไม่ได้ผล) ทันตแพทย์จึงควรได้รับการเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมองค์ความรู้ เพื่อให้พร้อมทำงานได้อย่างเหมาะสมในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งอาจต้องเริ่มตั้งแต่การศึกษาจากโรงเรียนทันตแพทย์ทั่วประเทศ

ดิฉันจึงขอเสนอไว้ให้ทุกท่านพิจารณาถึง การเตรียมความพร้อมรอบด้านในเรื่องของงานทันตสาธารณสุขชุมชนให้กับนักเรียนทันตแพทย์ทุกคนให้ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ก่อนจะเรียนจบออกไปทำงานในหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศไทยตามข้อตกลงทันตแพทย์คู่สัญญาทำงานชดใช้ทุน 3 ปี น่าจะเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นเดียวกันค่ะเพราะ

อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านทันตสาธารณสุขในหลายพื้นที่ทั่วไทยได้บ้าง (ลดการ “รั่ว”)

อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาหลักสูตรทันตแพทย์ให้สอดคล้องกับบริบทตามความเป็นจริงเชิงสาธารณะที่เกิดขึ้นจริงๆได้บ้าง

อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการรักษาภาพลักษณ์ของวิชาชีพในสายตาประชาชนผู้ต้องการ การรักษาทางทันตกรรมที่มีคุณภาพตรงตามความคาดหวังของประชาชนทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศไทย ในราคาเป็นธรรม เท่าที่ทันตสาธารณสุขภาครัฐจะให้บริการประชาชนได้บ้าง

อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ทันตแพทย์จบใหม่ มีทักษะความสามารถในการปรับตัว สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับทุกๆบุคคลแวดล้อมที่จะได้พบเจอในชุมชน เช่น เพื่อนร่วมงาน , เจ้าหน้าองค์กรท้องถิ่น , คนไข้ (เพื่อลดการร้องเรียน) , ฯลฯ

อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยสนับสนุนให้ทันตแพทย์ที่เรียนจบมาด้วยภาษีของประชาชนทำงานทันตสาธารณสุขชุมชน อย่างเต็มศักยภาพ เต็มความสามารถได้อย่างมีความสุขตามสมควร

แม้ว่าหลายท่านอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ก็ถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นเบาๆในวารสารทันตภูธร ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือเล็กๆในการสื่อสารระหว่างผู้ปฏิบัติงานจริงจากส่วนภูมิภาคกับหน่วยงานส่วนกลางเท่านั้นค่ะ เพื่อเปิดช่องทางให้ได้รับรู้รับฟังความคิดเห็นต่างๆด้วยความปรารถนาดีต่อวิชาชีพและประชาชนจาก ทันตบุคลากรทั่วไทย อย่างน้อยเป็นแค่รูระบายอากาศเล็กๆก็ยังดี ร่วมกันพัฒนางานทันตสาธารณสุขไทย ด้วยความจริงใจนะคะ

หมออ๋อ บรรณาธิการ ruralmax2007@gmail.com



0 ความคิดเห็น: