วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สำรวจความคิดของเราให้ดี


โดย ทพญ.ศันสณี รัชชกูล


เมื่อหลายปีก่อนพี่มีโอกาสพี่มีโอกาส ไปดูงานที่ NIDCR (National Institute of Dental and Craniofacial Research) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำการวิจัยในเรื่องสุขภาพช่องปากที่สำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกา งานวิจัยที่ผ่านจากที่นี่ถือว่ามีคุณภาพเป็นที่เชื่อถือ มีมาตรฐานถูกต้องตามหลักวิชาการ ในวันนั้น เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยที่ทางNIDCR ทุ่มเงินลงไปมากมายเพื่อที่จะทำวิจัยหาหาสาเหตุของ การเกิด NOMA (Cancrum Oris: Progressive necrotizing process originating in the cheek with secondary involvement of the gingiva and jawbone. Occurs primarily in debilitated children, and the mortality rate is high) อันเป็นโรคที่เกิดมากในแอฟริกาการรายงานเป็นไปอย่างน่าเชื่อถือ การวิจัยมีออกแบบอย่างรัดกุม ถูกต้องตามหลักวิชาการทุกอย่าง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการวิจัย เพราะงบประมาณไม่อั้นอยู่แล้ว ในที่สุดก็สรุปออกมาได้ว่าโรคนี้เกิดขึ้นเพราะคนกับสัตว์อาศัยอยู่ด้วยกัน

คนแอฟริกันที่นั่งอยู่ข้างๆพี่หันมาบอกพี่ว่า รู้ไหมว่าโรค NOMA นี้ถ้าไปถามคนแอฟริกันว่าเขาเรียกว่าอะไร คำที่คนแอฟริกันตอบ ถ้าแปลออกมาก็จะหมายความว่า โรคที่เกิดจากคนและสัตว์อาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องที่ คนแอฟริกันรู้กันมาหลายร้อยปีแล้ว แล้วเขาก็ยังบ่นพึมพำกับพี่ว่าไม่เห็นต้องวิจัยเสียเงินมากมายอย่างนี้เลย เรื่องนี้ก็คงเหมือนที่ชาวบ้านใน แอฟริกา และชาวบ้านในญี่ปุ่น ที่รู้กันมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่า ฟันตกกระเนื่องจากฟลูออไรด์เป็นพิษเกิดจากน้ำที่ดื่มเข้าไป หรือเมื่อพี่เข้าไปเดินในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะบอกพี่ได้เลยว่าน้ำบ่อไหนมีฟลูออไรด์สูง บ่อไหนมีฟลูออไรด์ต่ำ โดยที่ไม่เคยเอาน้ำไปตรวจในแลปมาก่อนเลย และน้ำที่มีฟลูออไรด์ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นบอกไม่ได้ด้วยสัมผัสใดๆของมนุษย์ แต่เขารู้

เล่ามายืดยาวพอควรน้องๆอาจสงสัยว่าเอ แล้วมันเกี่ยวข้องกับ Community based oral health ที่พี่เจนเขียนมาตั้งหลายตอนอย่างไรกัน ถ้ายังจำได้นะคะ ในตอนแรกที่พี่เขียนพี่เคยบอกว่าการจะทำงาน กับชุมชนจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดก็คือเริ่มที่ตัวเรา คือการเปลี่ยนที่ความคิดของเราก่อน การที่พี่ได้มาเขียนบทความให้ในวารสารทันตภูธรทำให้พี่ได้มีโอกาสอ่านข้อเขียนของคนในทันตภูธรอย่างละเอียด ถี่ถ้วน และคิดว่าเข้าใจในความคิดและทัศนคติของพวกเรามากขึ้น พี่พบข้อมูลที่น่าสนใจจากการวิเคราะห์ของพี่เอง และรู้สึกว่าอยากจะแบ่งปันส่วนนี้มากเลย ในฐานะของคนที่มีประสบการณ์มาก่อน และผ่านเหตุการณ์ที่คล้ายๆกันนี้มาแล้ว เลยทำให้ต้องเอาเรื่องนี้มาคั่นเรื่องที่สัญญาไว้ว่าจะเขียนในตอนนี้ ติดตามอ่านต่อไปนะคะว่าพี่พบอะไรในข้อเขียนของน้องๆ และอยากจะบอกว่าอะไร


จากตัวอย่างที่เล่ามาข้างบนนี้น้องๆอ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรบ้างไหมคะ ลองหยุดอ่านสักพักหนึ่ง แล้วคิดดูซิว่าพี่พยายามจะบอกอะไร พี่พยายามจะบอกว่ามนุษย์มีพลังปัญญาคะ ถึงจะไม่ได้เล่าเรียนสูงไม่ได้จบการศึกษาสูงๆ ก็อาจจะรู้อะไรๆพอๆกับหรือมากกว่าคนที่เรียนสูงๆก็ได้ หรือบางครั้งอาจจะรู้ถูกต้องกว่าก็ได้ เพราะการเรียนสูงๆบางทีก็ทำให้เกิดอคติครอบงำ และปิดบังพลังปัญญาที่มีอยู่ในตัวเรา จากที่พี่อ่าน และวิเคราะห์บทความของพวกเราพี่เห็นว่า พวกเรามักเริ่มจากฐานคิดว่า ชาวบ้านต้องไม่รู้ ชาวบ้านต้องไม่เคย น้องๆ อาจไม่ได้เขียนคำเหล่าออกนี้มาตรงๆ แต่เราอาจวิเคราะห์ส่วนนี้ได้จากข้อเขียนของน้องๆ น้องๆนำมาตรฐานของคนในสังคมหนึ่ง มาใช้วัดและตัดสินประชาชนที่อยู่ในชนบทที่เป็นอีกบริบทหนึ่ง (ตรงนี้พี่ไม่อยากใช้คำว่าชาวบ้าน เพราะคำๆนี้สะท้อนทัศนะคติหลายอย่าง เช่น เราไม่ใช่ชาวบ้าน เป็นชาวอะไรก็แล้วแต่จะคิด และออกจะดูถูกอยู่กลายๆ)

ตรงนี้สำคัญมากนะคะในการที่จะทำงานในภูธร เพราะทัศนคติที่หล่อหลอมเรามาทำให้เรามีวิธีคิด วิธีพูด วิธีแสดงออกที่ทุกคนสัมผัสได้ พี่พูดได้เพราะพี่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มากับตนเอง พี่เป็นคนกรุงเทพ เกิด และโตในกรุงเทพ ก็มีวิธีคิดอย่างคนกรุง อย่างคนในเมืองใหญ่ แม้ชีวิตจะถูกลิขิตให้ต้องทำงานในชนบท มาตั้งแต่จบทันตแพทย์ใหม่ๆ ก็คิดว่าเราทำงานไม่ทะลุสักที จนได้มีโอกาสมาอยู่ในหมู่บ้านชนบทจึงทำให้ได้ซึมซับอะไรมากขึ้นๆ และเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้นอาจไม่ทั้งหมด แต่มากขึ้นแน่ๆคะ

เมื่อเราจะทำงานกับใครก็แล้วแต่นะคะ พี่อยากให้เริ่มต้นจากวิธีคิดที่ว่าเรายังไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร เขารับรู้อะไรบ้าง รับรู้อย่างไร เขาไปเรียนรู้จากเขาก่อน แล้วค่อยๆสานต่อจากที่เขารู้ ที่เขาคิดอยู่ การแสดงออกของเราคำพูดของเรามันจะผิดกันมากกับการที่เราเริ่มจากการคิดที่ว่าเขาไม่รู้ การที่เราค่อยๆเรียนรู้จากเขา เขาก็จะค่อยๆเรียนรู้จากเรา ต่างคนต่างเข้าใจกัน ทำงานไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น


น้องๆเรียนรู้จากอาจารย์ที่มีความรู้สูงๆ ที่เล่าเรียนมาเยอะๆอย่างไร น้องๆก็เรียนรู้จากชาวบ้านเช่นนั้น สิ่งที่ชาวบ้านรู้มากกว่าเราแน่นอน เขารู้วิถีชีวิตของชุมชนเขา เขารู้ประวัติศาสตร์ ความเป็นไปในชุมชน เขารู้จักคนในชุมชน รู้ว่าใครเป็นอย่างไร มีศักยภาพแค่ไหน ความรู้เหล่านี้มีค่ามากในการจะทำงานกับชุมชน งานในชุมชนจะสำเร็จได้ต้องมาจากความเข้าใจเหล่านี้เป็นพื้นฐาน ออกไปเถอะคะ ออกไปในชุมชน ออกไปเรียนรู้และทำงานร่วมกับผู้มีความรู้เหล่านี้ แล้วน้องจะพบว่าทุกสิ่งเปลี่ยนไป ความที่คิดว่ายากลำบาก ทำไอ้นู่นก็ติดทำไอ้นี่ก็ติดจะหายไปราวกับปลิดทิ้งที่เดียวค่ะ อย่าลืมนะคะการทำงานกับชุมชนต้องเริ่มต้นที่ความคิดของเราก่อนคะ

0 ความคิดเห็น: