
เชื่อคำพ่อสอน : “ คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก เราก็เป็นสุข ” (พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)
หมอหน่อง : ทันตแพทย์พอเพียงกับความสุขทุกวันที่ภูเรือ โดย หมอวัฒน์เพื่อนหมอหน่องเขียน / หมอเหมียว นิด แซม และหมีพูห์ ร่วมด้วยช่วยกันคุยจ้ะ
หมอหน่อง : ทันตแพทย์พอเพียงกับความสุขทุกวันที่ภูเรือ โดย หมอวัฒน์เพื่อนหมอหน่องเขียน / หมอเหมียว นิด แซม และหมีพูห์ ร่วมด้วยช่วยกันคุยจ้ะ
ผมกับหน่องเป็นเพื่อนกันแม้ผมจะไม่ได้จบจุฬาฯเหมือนหน่อง แต่ความที่ผมมีเพื่อนสนิทเรียนที่จุฬาฯ ในบางทริปของการท่องเที่ยว เลยเป็น “สองเขี้ยว” กลายๆ ระหว่าง dent จุฬาและมหิดลจำ ได้ว่าช่วงปีใหม่ เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว เรามาเผชิญบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งด้วยกันที่น้ำหนาว ผมกับหน่องเริ่มคุ้นเคยและสนิทสนมกันมากขึ้น ตั้งแต่ตอนนั้นหน่องเป็นคนโคราช แต่เข้ากรุงเทพฯมาเรียนหนังสือที่ สามเสน ตั้งแต่ ม.1 จบม.ปลายแล้ว หน่องเลือกเรียนทันตแพทย์ด้วยเหตุผลง่ายๆว่าไม่อยากเป็นหมอ เพราะดูๆแล้วชีวิตหมอน่าจะลำบากกว่า หน่องเล่าติดตลกว่าทำงานได้ 2-3 ปีก็พิสูจน์ได้ว่าความคิดนี้ ไม่จริง น้องๆของหน่องเลยเลือกเรียนหมอตามแรงคะยั้นคะยอของหน่อง ความที่เป็นคนรัก ธรรมชาติ ข้อมูลที่หน่องใช้ในการเลือกจังหวัดใช้ทุนคือหนังสืออสท. จังหวัดอากาศดีๆ ที่เที่ยวธรรมชาติเยอะๆ อย่าง “เมืองเลย” จึงมีโอกาสต้อนรับหน่อง
หลังจากการเยี่ยมชมโรงพยาบาลทุกแห่งครบ หน่องและทันตแพทย์จบใหม่อีก 4 คน (เฮ้อ..ลืมเล่าไป ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) เลยมานั่งเลือกอำเภอไปทำงาน ภูเรือสมัยนั้น เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ขนาด 10 เตียงที่แม้เคย มีทันตแพทย์ มาก่อน แต่ก็ห่างหายไปหลายปีแล้ว หน่องได้รับสิทธิเลือกโรงพยาบาลเป็นคนแรก ด้วยความที่รอบแรกหน่องเลือกจังหวัดเลยเพียงคนเดียว ไม่แปลกใจ ใช่ไหมครับว่าทำไมหน่องเลือกภูเรือ ก็ ผมบอกแล้วไง ว่าหน่องเป็นคนรักธรรมชาติ 6 ปีแรกของการทำงานที่ภูเรือ หน่องทุ่มเททำงาน ทั้งงานในฝ่ายทันตฯ รวมทั้งงานนอกฝ่าย ทั้งที่เป็นงานโครงการ งานกีฬาและงานบันเทิง หน่องเล่าว่าตอนนั้นเหมือนถึงจุดอิ่มตัว เพราะทำ อยู่ที่เดียวมานาน บางอย่างเหมือนถึงทางตัน คิดไม่ออกว่าจะพัฒนาอะไรต่อ เลยคิดว่าชีวิตอาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
หน่องเลือกย้ายไปใช้ชีวิตในอำเภอชายขอบอย่างสังขละบุรี ที่เมืองกาญจน์ ซึ่ง หน่องบอกว่าการได้ย้ายที่ทำงานก็เป็นโอกาสดีในการเรียนรู้ เปิดโลกทัศน์ในการรับสิ่งใหม่ๆให้ชีวิต ได้เรียนรู้ความทุกข์ยาก ของชนเผ่าต่างๆที่มีอยู่มากมายที่สังขละ 2 ปีที่นั่นนับ เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากเหลือเกินกับหน่อง เมื่อถึงคราวตัดสินใจต้องลาเรียน หน่องเลือกย้ายกลับถิ่นเก่า ก่อนไปเรียน post grad ศัลย์ที่มหิดล 1 ปี และกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายที่ภูเรือ จนถึงทุกวันนี้ ท่ามกลางกระแสการไหลบ่าของทันตแพทย์ภาครัฐสู่เอกชน ชนบทสู่เมือง หน่องไม่แน่ใจว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันจะเหลือใช้ชีวิตในโรงพยาบาลชุมชนอย่างหน่องสักกี่คน ซึ่งหากถ้ามีอยู่บ้างก็คงจะ น้อยเต็มที แต่หน่องบอกว่า หน่องหลงเสน่ห์ของโรงพยาบาลชุมชนเสียแล้ว นอกจะได้ทำงานทันตฯของเราแล้ว ยังได้ทำงานอื่นๆ และได้พบเจอผู้คนที่หลากหลาย ทำให้ชีวิตมีสีสัน ไม่เบื่อ ไม่จำ เจ
หน่องเคยลองไปทำคลินิกตอนไปเรียนต่อ แม้จะได้เงินเยอะกว่าทำงานราชการอยู่มาก แต่หน่องคิดว่าให้ทำนานๆอย่างอาทิตย์ละ 5 วัน คงทนไม่ได้ ผมถามว่าเงินเยอะ เย้ายวนขนาดนั้นหน่อง ไม่คิดลาออกไปใช้ชีวิตแบบนั้นบ้างเหรอ หน่องว่าเคยคิด แต่เป็นความคิดแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 2 วินาที เพราะอย่างไรชีวิตอย่างนั้นอาจเหมาะกับคนอื่น แต่คงไม่เหมาะกับหน่อง หน่อง ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขง่ายๆกับสิ่งใกล้ๆรอบตัว 5 ปีแรกในการทำงานที่ต้องส่งน้องเรียน หน่องใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะคู่กาย ก็มีความสุขดี ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร จนน้องๆจบจึงได้ซื้อ รถกระบะแคปมาใช้ 1 คัน
หน่องบอกว่า แม้ทันตแพทย์ภาครัฐที่ไม่ได้เปิดคลินิกจะมีรายได้ไม่กี่หมื่นต่อเดือน น้อยนิดเมื่อเทียบกับรายได้นับแสนของทันตแพทย์เอกชนในเมืองใหญ่ แต่จะว่าไปก็ ถือว่ามากแล้วในระดับอำเภอ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพวกลูกจ้างในโรงพยาบาลที่มีรายได้แค่เดือนละ 4-5 พันบาท ซึ่งคำนวณดูดีๆรายได้ของเราก็มากกว่าเขาเกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว
จะว่าไป คนพอเพียงอย่างหน่องก็ใช้เงินต่อเดือนน้อยจนไม่น่าเชื่อ แค่เฉลี่ยเดือนละ 5-6 พันบาทเอง ค่าอาหารซะครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือ 3 พัน สำหรับค่าหนังสือและจิปาถะอื่นๆ ถามถึงความสุขของหน่องในวันนี้ หน่องบอกว่ามีความสุขทุกวันกับการได้ช่วยรักษาดูแลชาวบ้าน คุณป้า คุณน้า คุณตาคุณยายที่หมุนเวียนมาให้หน่องดูแลสุขภาพช่องปากให้ หลังให้บริการ เกือบทุกครั้ง ถ้าคนไข้ไม่เยอะมาก ยังพอมีเวลาหน่องจะสอนให้ความรู้หวังเพื่อคนไข้จะได้สามารถดูแลตนเองได้เรื่องทันตสุขภาพ
วันนั้นผมกลับออกจากบ้านหน่องตอน 3 ทุ่มกว่าๆ แวะมอง ทุ่งไม้เลื้อย หน้าบ้านหน่อง หน่องรักต้นไม้แทบทุกชนิดและมีความรู้ ด้านนี้เป็นอย่างดี เพ่งดูดีๆในความมืด เห็นเป็นลูกกลมๆเขียวๆหลายขนาดแทรกตัวตามเถาไม้เลื้อยเหล่านั้น สอบถามกัน สองสามคำผมจึงค่อยถึงบางอ้อ ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่า หน่องคงเป็นทันตแพทย์คนเดียวในประเทศนี้ ที่ปลูกแตงโมกินเอง
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณค่ะสำหรับบทความดี ๆๆๆ
แสดงความคิดเห็น