วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สุขสร้างสรรค์กับ สสส. : บทเรียนการเปลี่ยนสังคมสู่สุขภาพผ่านการควบคุมภัยบุหรี่


โดย ทพ. สุปรีดา อดุลยานนท์


วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก เพิ่งผ่านไปไม่นานนัก หลายปีมานี้ ผมได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประสานภาพรวมของงานด้านควบคุมยาสูบอยู่บ้าง และได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับบทบาทของทันตบุคลากรไทยที่ได้เข้ามามีบทบาทร่วมกับวิชาชีพอื่นๆในการควบคุมยาสูบอย่างเข้มแข็ง จึงเห็นว่าบทเรียนสำคัญๆของการควบคุมยาสูบของประเทศไทยและของโลก น่าจะมีคุณค่าสำหรับคนทำงานด้านสุขภาพด้านอื่นๆ รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ที่จะลองพิจารณาประยุกต์ใช้ตามสมควร

ประเทศไทยเริ่มการรณรงค์และทำงานด้านนี้มากว่ายี่สิบปีแล้ว คนไทยจำนวนมากที่มีอายุมากพอ ยืนยันได้ถึงอากาศที่สะอาดจากควันบุหรี่ของเมืองไทยมากขึ้นตามลำดับในช่วงเวลาดังกล่าว ยิ่งคนที่เดินทางไปต่างประเทศเป็นประจำ ก็จะยิ่งตระหนักได้ว่า ตนถูกรบกวนจากควันบุหรี่ในบ้านเกิดน้อยกว่าหลายๆประเทศ ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยซ้ำยืนยันได้จากสถิติจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า เมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว ใน พศ 2534 ผู้ชายไทยกว่าครึ่งประเทศหรือถึงร้อยละ 55.6 สูบบุหรี่กันเป็นประจำ ได้ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 36.9 ในปี 2549 ขณะที่ผู้หญิงก็ยังสูบบุหรี่กันน้อยกว่าร้อยละ 1 และลดลงเรื่อยๆ

บทเรียนของสัมฤทธิผลข้างต้นอาจกล่าวอย่างสั้นๆ จากข้อสรุป “ สองทศวรรษของการควบคุมยาสูบไทย ” โดย นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ (ซึ่งเพิ่งเป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลด้านการควบคุมยาสูบจากองค์การอนามัยโลกประจำปีนี้) ได้ว่า ความสำเร็จของการควบคุมยาสูบของไทย มาจากการทำให้เรื่องการควบคุมยาสูบพ้นจากมือหมอ มาสู่มือของสังคม ยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านั้น ปัญหาการสูบบุหรี่ เป็นเรื่องของสุขภาพของผู้สูบบุหรี่เอง โดยหมอและบุคลากรทางสุขภาพมีภาระในการออกมาเตือนให้ระวังพิษภัยสารพัดของควันยาสูบที่ผู้สูบตั้งใจควักเงินซื้อหาบุหรี่มา จุดไฟ อัดควันเข้าปอดมวนแล้วมวนเล่า เตือนแล้วถ้าเลิกไม่ได้ ต้องเจ็บป่วยด้วยโรคภัยที่บุหรี่เป็นพาหะ ก็เป็นภาระของพวกหมอต้องมารักษา

การรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ด้วยมุมคิดและวิธีการแบบนี้ไม่ประสบความสำเร็จมาทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย จุดเปลี่ยนแปลงเริ่มมาจากการเปลี่ยนมุมคิด มุมมองต่อปัญหาจากการสูบบุหรี่ ปัญหาใหญ่โตจากการสูบบุหรี่ที่ปัจจุบันยังคร่าชีวิตคนในโลกถึงปีละ 5 ล้านคน เริ่มไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาส่วนตัวของผู้สูบ และขึ้นกับสิทธิส่วนบุคคลของผู้สูบเท่านั้นอีกต่อไป

เริ่มมีการตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมของค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่สังคมต้องร่วมจ่าย ทั้งในรูปแบบสวัสดิการสังคมต่างๆ หรือการใช้ทรัพยากรสาธารณะเช่นบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก ไปกับโรคภัยจากบุหรี่ที่ผู้ป่วยแสวงหาเข้าใส่ตัวเองเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น พิษภัยบุหรี่ ไม่ได้ถูกมองจำกัดเฉพาะต่อผู้สูบเอง แต่ถูกมองถึงผลกระทบต่อผู้ไม่สูบบุหรี่ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน สิทธิในการหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ของผู้ไม่สูบบุหรี่ จึงได้รับการ ชูขึ้นเทียบเท่าและต่อมาก็เหนือกว่าสิทธิส่วนตัวของผู้สูบบุหรี่

สิ่งสำคัญก็คือจากทั้งสองมุมมองใหม่ ปัญหาจากบุหรี่ถูกยกระดับจากปัญหาระดับปัจเจกบุคคล สู่ปัญหาระดับสังคม ผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้สูบบุหรี่กับหมออีกแล้ว แต่ผู้ไม่สูบบุหรี่จำนวนมหาศาลได้เข้ามามีเอี่ยวด้วย โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก แล้วยังลากเอาประเด็นด้านการคลัง ประเด็นสวัสดิภาพและสังคมของเด็กและเยาวชน และอีกนานาประเด็นสาธารณะตามมาเกี่ยวพันด้วย


อันนำมาซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาจากบุหรี่ที่ขยายตัวจากแค่เรื่องการรณรงค์สื่อสารถึงพิษภัยบุหรี่ และการบำบัดรักษาผู้ติด ไปสู่การคุ้มครองสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ด้วยการกำหนดพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่ การขึ้นภาษี การนำภาษีจากบุหรี่มาใช้ในการรณรงค์และสร้างเสริมสุขภาพ การจำกัดการโฆษณา การติดข้อความหรือภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ฯ ซึ่งล้วนแต่ทรงประสิทธิภาพมากกว่ามาตรการเดิมๆ ภายใต้การสนับสนุนกติกาสังคมใหม่ของสาธารณชนทั่วไปที่ตระหนักถึงผลกระทบของการสูบบุหรี่ต่อตนเองและสังคมที่ตนสังกัด

ปัญหานี้ ยังเริ่มถูกมองเลยจากมุมอุปสงค์หรือผู้บริโภคบุหรี่ ไปถึงฝ่ายอุปทานหรืออุตสาหกรรมบุหรี่ ถูก “ตีตรา” ในฐานะผู้ก่อปัญหายิ่งใหญ่ของมนุษยชาตินี้ เพื่อผลประโยชน์มหาศาลศาสตราจารย์สแตน แกลนซ์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้กล่าววาทะสำคัญไว้ว่า เราไม่อาจกำจัดโรคมาเลเรีย โดยไม่ศึกษาวงจรชีวิตของยุงเช่นใด เราก็ไม่อาจแก้ปัญหาของการสูบบุหรี่ โดยไม่ศึกษาและเกี่ยวข้องกับอุตสาหรรมบุหรี่ได้เช่นกัน

อุตสาหกรรมบุหรี่ถูกควบคุมการผลิตและจำหน่ายมากขึ้น (แม้ส่วนนี้จะถูกต่อต้านจากอำนาจด้านพาณิชย์ของรัฐไม่น้อยก็ตาม) รวมทั้งถูกเปิดโปงและฟ้องร้อง จนแพ้คดีในศาลสูงสุดในสหรัฐอเมริกาต้องเสียค่าชดใช้ความเสียหายเป็นเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญหรือประมาณสี่แสนล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 25 ปี

ทั้งหมดนี้นำมาสู่การส่งผลต่อการลดอัตราผู้สูบบุหรี่ในหลายๆประเทศ รวมทั้งประเทศไทยที่จัดได้ว่าอยู่ในแนวหน้าของโลกด้านการควบคุมยาสูบ

ยิ่งไปกว่านั้น เครือข่ายโลกด้านการควบคุมยาสูบยังจับมือกันสร้างความร่วมมือสากล จนผลักดันให้องค์การอนามัยโลก ออกกฎหมายโลกด้านสุขภาพฉบับแรกออกมา คือ “กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ” ที่มีประเทศร่วมลงนามกว่าร้อยสี่สิบประเทศ ที่จะมีผลต่อการกำหนดมาตรการควบคุมยาสูบที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น การค้าบุหรี่เถื่อน หรือการห้ามโฆษณาข้ามพรมแดนด้วย

เรื่องของการควบคุมยาสูบ คงไม่เหมือนกับปัจจัยเสี่ยงอื่น หรือประเด็นสุขภาพอื่นเสียทีเดียว ชาวทันตสาธารณสุขคงต้องเลือกประยุกต์บางแง่มุมมาใช้เป็นแนวทางทำงานได้ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานก็ดูจะได้ประยุกต์ใช้บางบทเรียนมาเขยื้อนสังคมไทยอยู่บ้าง ซึ่งคงได้มีการถอดบทเรียนในทำนองเดียวกันนี้ออกมาเช่นกันอย่างน้อย ตัวอย่างของการควบคุมยาสูบก็ให้แรงบันดาลใจแก่เราได้ว่า เราสามารถสร้างสุขภาวะในระดับสังคม ให้เกิดขึ้นได้ด้วยกระบวนการทำงานและเรียนรู้อย่างจริงจังต่อเนื่อง

0 ความคิดเห็น: