วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เมืองไทยในมือเรา : วิกฤตการณ์หลังลงประชามติ



โดย ศยาม



วันนี้ ทั่วประเทศได้ทราบกันหมดแล้วว่า ผลการลงประชามติรับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นอย่างไร ผมไม่เอามาพูดซ้ำอีก แต่อยากพูดถึงผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นต้นไป เป็นผลที่จะกระทบต่อประเทศของเราโดยรวม ซึ่งครอบคลุมถึงหมอฟันอย่างพวกเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนีไม่พ้นแน่ๆ



เท่าที่สติปัญญาน้อยๆของผมพอจะประมวลได้ ก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีข้อเหมือนและข้อแตกต่างอย่างแน่นอน จากรัฐธรรมนูญ 17 ฉบับที่ผ่านมา รวมทั้งฉบับปี 2540 ด้วย แต่ลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์ประเทศ ที่พ่อหลวงของประชาชนไทย พระองค์ตรัสว่าเป็น วิกฤตที่สุด ดังนั้นผลที่ออกมาจึงไม่น่าแปลกใจที่พื้นที่สีแดงคว่ำรัฐธรรมนูญนั้น เป็นพื้นที่ของภาคอีสาน 17 จังหวัดและพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่เหลือแค่แม่ฮ่องสอน พื้นที่เหล่านี้คือพื้นที่ของประชาชนกลุ่มรักอดีตนายกทักษิณ หรือแนวร่วมของอดีตนายกทักษิณหรือกลุ่มต้านทหาร แต่บังเอิญเหลือเกินว่า ไปอยู่ในพื้นที่นั้นมากมาย

ผลสะท้อนที่ทำให้คิดคือ วันที่ 19 สิงหาคม 2550 นั้นมีภาพของการประลองกำลังทางการเมือง เป็นเกมการเมืองระหว่างฝ่ายสูญเสียอำนาจและฝ่ายยึดอำนาจ การลงประชามติมีภาพของการตรวจแถวความจงรักภักดีของมวลชนและกลไกทั้งสองฝ่าย คือ อดีตนายกทักษิณและทหาร เป็นการทดสอบเครื่องมือใหม่ๆในการซื้อขายเสียงสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง เป็นการตรวจหาช่องโหว่ของฐานเสียงตนเองในพื้นที่ ตรวจและทดสอบว่าประสิทธิภาพของ อดีต สส.ไทยรักไทยเดิมในพื้นที่นั้นมีมากเพียงพอที่จะได้ตำแหน่งกลับคืนไหม รวมทั้งวันที่ 19 สิงหาคมคือ ก้าวแรกของยกต่อไป ที่จะกลับมาทวงอำนาจคืน ผ่านกระบวนการทางการเมือง จนถึง สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ร่วมกับพรรคเล็กพรรคน้อยที่สามารถลอบบี้สำเร็จ



ไม่ว่าผลการลงประชามติจะออกมารับหรือไม่รับ ก็ตาม อดีตนายกทักษิณและพวก จะหยิบยกเอาผลลัพธ์ที่ได้ มาเดินหน้าทำลายกลุ่มทหารและรัฐบาลสุรยุทธ์ต่อไป เช่น หากรับรัฐธรรมนูญแบบเฉียดฉิวก็จักอ้างว่า ฝ่ายตนได้รับชัยชนะ มีคน 10 ล้านที่ไม่ยอมรับทหารและรักทักษิณ แต่หากไม่รับก็จะโหมหนักขึ้นและโจมตีรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ที่ทหารจะหยิบมาใช้ว่า นี่คือ รัฐธรรมนูญเผด็จการตัวจริง แต่ไม่ว่าฉบับไหน พรรคพลังประชาชนของอดีตนายกทักษิณ ก็จะเดินหน้าทุ่มเงินและทุ่มเทครั้งสุดท้าย เพื่อให้ได้ สส.เข้ามามากกว่า 160 ที่นั่ง เพื่อหาทางจัดตั้งรัฐบาล


รัฐบาลผสมที่มีพรรคของอดีตนายกทักษิณจัดตั้งนี้ มีหน้าที่หลักไม่กี่อย่าง


คือ 1. ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ผู้บริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง รวมทั้งปลดล๊อคทางการเมืองให้อดีตนายกทักษิณกลับมาเล่นการเมืองได้

2. “ เคลียร์ ” คดีอย่างน้อย 14 คดีที่กำลังทยอยขึ้นศาล ให้แนบเนียน ดูดี สังคมเชื่อถือมากหน่อย และไม่มีผลใดๆต่อทักษิณ ทำให้เงินที่ถูกอายัดกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ และ ฟอกทักษิณจนสะอาดและเป็นวีรบุรุษ ในสายตาของชาวบ้านที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหลาย

3. ทำการจัดแถวทหารในเบื้องต้น เพื่อที่จะจัดแถวอย่างสมบูรณ์ในก้าวต่อไป ในสมัยที่ทักษิณ จะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่ง


4. ทำการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เมื่อเงื่อนไขพร้อม



แต่หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคพลังประชาชนจะผลักดันทุกรูปแบบ ใช้เงินแบบไม่ยั้ง เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม ดำเนินการยื้อและยั้งไม่ให้คดีสำคัญของอดีตนายกทักษิณฯ ขึ้นสู่ศาล ทำให้ช้าเข้าไว้ จากนั้นสร้างความปั่นป่วนที่จะนำไปสู่การยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ในการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง



หลังการยุบสภานี้ พรรคพลังประชาชน จะจัดแถวและกลับมาอีกครั้งหลังการนิรโทษกรรม พร้อมเงินมหาศาลและตอนนั้น ใครจะไปรู้ว่า ประเทศนี้อาจมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น ภายใต้เงื่อนไขที่อ่อนแอ อึมครึม ไร้ประสิทธิภาพของ คมช. กกต. และ รัฐบาลสุรยุทธ์ วันที่ 19 สิงหาคม 2550 ที่โอ้อวดกันนักหนาว่า เป็นการลงประชามติครั้งแรกของประเทศ และเป็นการลงประชามติรัฐธรรมนูญทั้งฉบับครั้งแรกของโลก ( น่าหัวเราะ ?) นั้น
ใครจะรู้ว่า มันอาจหมายถึงการเริ่มต้น วิกฤตการณ์ที่สุด อีกครั้งหนึ่งของราชอาณาจักรไทย และ อาจเป็นโศกนาฏกรรมที่คนทั้งประเทศจะต้องเศร้าโศกอย่างยิ่ง หากจำต้องเปลี่ยนจาก ราชอาณาจักรไทยเป็นประเทศสาธารณรัฐ






0 ความคิดเห็น: