โดย ทพญ. มัทนา พฤกษาพงษ์
วันก่อนได้ดูสารคดีเรื่องหมีป่าที่เข้ามาก่อกวน
พังรถในลานจอดรถของวนอุทยานแห่งหนึ่งในอเมริกา
มันตามกลิ่นอาหารที่คนทิ้งไว้ในรถ แล้วก็มาขย่มๆรถจนบุบยุบบ้าง กระจกแตกบ้าง
ในภาพยนตร์สารคดีนั้น เจ้าหน้าที่วนอุทยานให้สัมภาษณ์สะกิดใจผู้เขียนว่า
“ ผมว่านะครับผมฝึกหมีป่าสองสามตัวไม่ให้เข้ามาที่จอดรถ
อาจจะง่ายซะกว่าฝึกคนหมื่นคนไม่ให้ ทิ้งอาหารไว้ในรถอ่ะครับ ”
พอคิดตามแล้วก็เห็นว่าไม่ไกลความจริงนัก
พ่อหนุ่มตาน้ำข้าวพูดต่อว่าคนเราหน่ะ ชอบที่จะได้พบเจอสัตว์ป่าใกล้ๆ
เห็นทีนึงก็ยกกล้องออกมาถ่ายรูปกันแทบไม่ทันป่าต้องมีถนนเข้าถึงสะดวกๆ
(ยิ่งบ้านเรานี่มีร้านค้าร้านอาหารดักหน้าถ้ำหน้าน้ำตกกันเป็นปกติ)
นอกจากนั้น มันต้องเป็นไปดั่งใจมนุษย์อยากไปซะหมด
คือ คุณสัตว์ป่าทั้งหลาย คุณเข้ามาใกล้ๆนะ อยากเห็นชัดๆ แต่อย่ามายุ่มย่าม
ฉันอยากดูคุณใกล้ๆ แต่คุณห้ามเข้ามาทำอะไรฉัน.…
เป็นงั้นไปหัวข้อหลักของหนังสารคดีชุดที่กล่าวถึงนี้ คือ การอยู่ร่วมกันของคนกับสัตว์
ว่าทำอย่างไรถึงจะอยู่ร่วมกันได้ดี ต้องมีการ “ควบคุม ” แค่ไหน
อย่างกรณีหมีป่านี้ ควรทำรั้วไฟฟ้าว่าตรงไหนเขตของคน หมีห้ามเข้า
หรือ ควรมีเจ้าหน้าที่ตรวจจับปรับคนที่ทิ้งอาหารไว้ในรถ หรือทำทั้งสองอย่างคู่กันไป
แปลกแต่จริงไม่ว่าจะแก้ปัญหาอะไร คนเรามักคิดว่าต้องควบคุมดูแลด้วยข้อบังคับต่างๆ
หรือไม่ก็ต้องคุมต้องฝึกด้วยรางวัลหรือการลงโทษ
อย่าว่าแต่เรื่องคนกับสัตว์เลย เรื่องคนกับคนด้วยกันเองนี่แหละ
สนุกนักแล พอมีปัญหาทีไร วิธีแรกที่มักคิดออก คือ การควบคุมปราบปราม
ออกกฎ แล้วลงโทษคนผิดให้จำ จะได้ไม่ทำอีก
ดูๆกันไปแล้ว ได้ผลสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ทำกันมาจนชิน
ทั้งๆที่โดยมากแล้วคนเราไม่ชอบให้ใครบังคับ
แปลกแต่จริง ถ้าควบคุมไม่ได้ผล ก็เพิ่มความเข้มของโทษ
เพิ่มความละเอียดของกฎ คำแต่ละคำที่ใช้มีความหมายมากนัก
ประชุมเขียนไอ้กฏพวกนี้ทีไร คุยกันนานแสนนาน หลายๆครั้งติดอยู่ที่คำๆเดียวเป็นชั่วโมง
พอมีบ้างเหมือนกันแต่ก็คงน้อยมากที่เมื่อมีปัญหาแล้วมีคนพูดว่า
ปล่อยๆมันไปเถอะ เดี๋ยวมันก็ดีเอง เดี๋ยวเหตุการณ์ก็คลี่คลายเอง
ศาสตร์การบริหารจัดการสมัยใหม่นี้
มีการพูดกันเรื่อง กฎซิมเปิ้นๆ (simple rules) กันอยู่ให้ได้ยินบ่อยๆ
เขาว่ากันว่า คนเราอยู่ร่วมกันจำนวนมาก ไม่มีกฎเลยก็ไม่ได้ จะเละเทะ
แต่ถ้ามีกฎมากคุมไปซะหมด คนก็จะไม่มีความคิดสร้างสรรค์
ทำงานเป็นผีดิบตามกฎที่วางไว้ไปวันๆ
แถมอาจมีพวกที่รำคาญกฎ ทำงานไม่มีความสุข
บ้างก็แหกกฎให้มีเรื่องมีราวมากกว่าเดิม
หรือ ประเภทที่แหกซะจนไม่รู้จะมีกฎไปทำไมก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ
ทางที่ดีที่สุดคือ มีกฎหลักพื้นฐานไม่กี่ข้อก็พอ
แล้วความอิสระในการทำงานจะทำให้คนทำงานได้คิดเองบ้าง
ไอ้การที่ทำให้ได้คิด ก็จะทำให้คิดได้ ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ
เพราะเหตุเพราะผลมันจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่งหรือทำเพราะกลัวถูกลงโทษ
การที่มีข้อบังคับน้อยๆ ยังส่งเสริมให้คนทำงานคิดวิธีแก้ปัญหาแบบใหม่ๆ
มีวิธีการทำงานเชิงสร้างสรรค์จนอาจต้องอุทานออกมาว่า คิดได้ไงเนี่ยะ
ผู้สนับสนุนแนวทางนี้ ได้ยกตัวอย่าง ความน่าทึ่งของห่านป่าที่บินกันเป็นฝูงมีตัวนำ 1 ตัว
ที่เหลือบินตาม เรียงกันเป็นแผงรูปสามเหลี่ยม
หรือฝูงปลาทะเลฝูงใหญ่ๆที่ตัวนึงเลี้ยวแล้ว
ปลาทั้งฝูงก็เลี้ยวตามกันไปมาซ้ายขวาได้พร้อมๆกันสวยงามมาก
เรื่องของเรื่องคือ เมื่อนักคำนวณคิดจะสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของฝูงห่านกับฝูงปลานี้
เขาคิดหัวแตกว่าสมการจะเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นตัวแปรบ้าง
มันช่างเป็นพฤติกรรมที่น่าอัศจรรย์จริงๆ คงมีกฎอะไรมากมายที่ต้องทำตาม
แถมกฎแต่ละข้อคงต้องอธิบายละเอียดยิบ ถึงจะได้ผลออกมาแบบที่เห็น
แต่เอาเข้าจริงๆ มีกฎแค่ 2 ข้อคือ
ข้อหนึ่งทำตามเพื่อนข้างๆ
ข้อสอง รักษาระยะห่างกับเพื่อนข้างๆให้ได้เท่าเดิมเสมอ…จบ
กลับมาดูที่ทีมงานคนเรา ถ้ามีกฎมากมายละเอียดยิบ
อาจไม่ได้ผลงานที่ดีก็ได้ไปคุมมากก็อึดอัดมาก ถ้าลองปล่อยบ้าง
แล้วหากฎที่มันสำคัญจริงๆอาจจะดีกว่าก็ได้
….เอ….เริ่มด้วยหมีป่ามาลงเอยแบบนี้ได้ไงเนี่ยะ
ก็อย่างว่าค่ะ หมีมันอยู่ในป่ามาซะนาน
เดินตามกลิ่นอาหารในบ้านตัวเองดีๆ กลับมีคนมายิงลูกดอกยาสลบใส่
ก็คนเราเป็นซะอย่างนี้ นี่หมีมันพูดกับเราไม่รู้เรื่องเลยโดนซะ
ที่นี้ เรามันคนด้วยกันเองก็น่าจะหันหน้ามาพูดกันให้รู้เรื่อง
มาช่วยกัน ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขดีไหมค่ะ
เอาเป็นว่าวันนี้ฝากให้คิดเรื่อง การตั้งกฎที่ควรตั้ง “ ซิมเปิ้นๆ ”
ฝากเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างไม่บังคับใจไว้ ณ ที่นี่แล้วกันค่ะ
ให้ช่วยกันไปคิดต่อว่ามันจะเอามาใช้ในสังคมทันตบุคลากรของเราได้หรือไม่
จะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค ฉบับหน้าพบกันใหม่ค่ะ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น