วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จุดประกายความคิด :



โดย ทพญ.มัทนา พฤกษาพงษ์


เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในช่วงเดือนสองเดือนนี้ทำให้ผู้เขียนต้องเปรยกับตัวเองบ่อยๆว่า
เราก็วางแผนได้เพียงเท่านี้แล ที่เหลือก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันจะเป็น
ตอนนี้ผู้เขียนมาอยู่แคลิฟอร์เนีย เพื่อดูแลคุณอาที่เพิ่งทราบว่าเป็นมะเร็งขั้นที่ 4 จากลำไส้ใหญ่ลามไปตับเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้กำลังรอทำคีโมครั้งที่ 2 แล้วให้ร่างกายฟื้นแข็งแรงพอที่จะกลับเมืองไทยได้
วันนี้เราช่วยกันเก็บของในบ้าน ได้เห็นชัดว่ามันก็เท่านี้แหละ
ของที่หามาทำงานมาทั้งชีวิตก็บริจาคแจกจ่ายกันไป
สิ่งที่ต้องการจริงๆคือการได้กลับไปบ้าน ไปอยู่ใกล้ครอบครัวกับคนที่รัก
เราช่วยกันเอารูปออกจากกรอบ แล้วอาก็บอกว่าจะเอาอัลบั้มรูปกลับไปดูเวลากลับไปเมืองไทย นอกนั้นก็มีเสื้อผ้ากลับไปให้พอใส่เท่านั้นเองเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้
แม้กระทั่งหนังสือมากมาย ยิ่งเครื่องประดับต่างๆนั้นไม่เอากลับเลย
มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป




นอกจากนี้อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนต้องเปรยบ่อยๆว่า
" เราก็วางแผนได้เพียงเท่านี้แล "
ก็คือเรื่องการวางแผนครอบครัวของผู้เขียนเองนี่แหละ
ช่วงเรียนเด้นท์เป็นทันตแพทย์ประจำบ้านสาขาทันตกรรมผู้สูงอายุช่วงปีที่ผ่านมา
เราคิดในใจมาตลอดว่าภาพคนเจ็บใกล้ตาย ผู้สูงอายุที่เหงาหงอยมันหดหู่
ถึงเราจะไม่เครียดกับงานมากนัก แต่เราก็ไม่อยากตั้งท้องช่วงนั้น
(ผู้เขียนทำงานใน palliative care ด้วย) ไว้รอให้เรียนจบก่อนค่อยมีลูก....
และแล้วเวลาก็เหมาะเจาะ เรียนจบปุ๊บก็ท้องปั๊บแต่พอทราบว่าท้องไม่ถึง 3 อาทิตย์
ก็ได้รับข่าวเรื่องคุณอากลายเป็นว่าเราทั้งคู่สามีภรรยาได้มาเข้าออกโรงพยาบาล
และต้องคิดเรื่องความเจ็บความตายแบบใกล้ชิดมากขึ้นไปอีกแต่เพราะมีเจ้าตัวเล็กในท้อง
เราทั้งสองคนต้องพยายามเข้าใจโลกให้มากๆจะได้ไม่เครียด
ไม่งั้นจะส่งผลไปที่ลูกในพุงโตได้
ไหนจะมีข่าวการเมืองไทยที่อาจจะทำให้อึดอัดในใจได้ง่ายๆ



บทความฉบับนี้เลยขอเขียนข้อคิดชีวิตที่คิดว่าอาจจะช่วยท่านที่สนใจได้บ้างว่าทำอย่างไรดีถึงจะเตือนตัวเองให้มองเห็นชีวิตได้แบบใจแผ่กว้างไม่อึดอัด เปิดรับได้ทุกสถานการณ์

ข้อแรก คือ เมื่อเราคิดอะไรที่มันเป็นทางลบ มีอารมณ์ที่เป็นไปในทางลบ

ให้พูดกับตัวเองว่า "คิดแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์"
มนตรานี้เรียนรู้มาจากคุณเจ ภรรยาของศ. แรนดี้ เพ้าช์ (Randy Pausch)
เจ้าของหนังสือ เลคเชอร์สุดท้าย (The Last Lecture)คุณเจต้องทำใจ เพราะทราบว่าสามีกำลังจะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับอ่อนเธอบอกว่า แน่นอนเราเป็นคนธรรมดา มีแน่ๆที่เราจะคิดท้อแท้หรือโกรธแค้นในความไม่ยุติธรรมเธอบอกว่า เธอต้องพูดเตือนใจตัวเองเสมอเพื่อให้หยุดความคิดเหล่านั้นประโยคประจำใจของเธอคือ
" This is not helping " ..." ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา "

ข้อสอง ตัว ศ. แรนดี้ เพ้าช์ เองบอกว่าตอนนี้ผมไม่กลัวตายนะ แต่ความรู้สึกแว๊บแรกของผมที่แป้วมากๆ คือใครจะดูแลลูกเมียเขาบอกว่ามันเหมือนกับการคิดว่า ถ้ามีคนผลักลูกเมียเขาลงหน้าผาแล้วใครจะมารับ เขาจะไม่อยู่แล้วแล้วเขาก็บอกว่านั่นแหละ เศร้าที่สุด แต่ถ้าเปรียบกับการเล่นไพ่ ไพ่มือนี้มันออกมาแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ มันอยู่ที่ว่าเขาจะเล่นเกมต่อไปอย่างไรให้ผลมันออกมาดีที่สุด จะโศกเศร้าเสียใจกินไม่ได้นอนไม่หลับที่ลูกเมียจะตกหน้าผาหรือว่า จะเข้มแข็งใช้เวลาที่มีอยู่เริ่มทอตาข่ายเพื่อมารองรับกันไว้สำหรับในอนาคตถ้ามีคนจะผลักลูกเมียเขาตกลงมาจริงๆ แน่นอนค่ะ แรนดี้บอกว่าผมเลือกแบบหลัง

ข้อสาม หลายคนอาจถามว่า แล้วทำยังไงถึงจะทำได้เหมือนคนแกร่งอย่างสองสามีภรรยาคู่นี้หล่ะพระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่า ให้มองปัญหาให้เห็นปัญหา พิจารณาให้ถี่ถ้วนเอาความเครียดที่เกาะใจเราเอาอารมณ์ที่เกาะใจเราออกซะก่อนเมื่อเห็นปัญหาอย่างที่มันเป็นจริงๆได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละที่เราจะเริ่มมีปัญญาหาทางออกได้ถ้าตอนนี้ยังไม่มีปัญญา ยังไงเรียกสติมาก่อน ค่อยๆให้เอาตัวเกาะปัญหาออกไปเรื่อยๆให้เห็นชัดขึ้นว่าอะไรกันแน่ที่เป็นปัญหา แล้วจังหวะหนึ่งเราจะรู้เองว่าควรจะต้องทำอย่างไรไม่ต้องไปวางแผนมากเกินไป หรือปรุงแต่งคิดล่วงหน้าไปเองมากมายด้วย ค่อยๆดูไปทีละวัน (หรือให้ดีคือทีละขณะจิต)การวางแผนคือมีแผนไว้แล้วก็...ยิ้ม...แล้วก็...วางซะ ถือไว้มันหนัก

เพราะเราก็ทำได้เพียงเท่านี้แล แล้วฉบับหน้าพบกันใหม่ค่ะ


0 ความคิดเห็น: