ขณะนี้บ้านเกิดเมืองนอนที่รักของฉัน กำลังเรียนรู้ภาคปฏิบัติกับคำเท่ๆที่เรียกว่า ‘อารยะขัดขืน’ หรือ ‘Civil Disobedience’ เป็นวิธีการ ‘ดื้อแพ่ง’ ต่อต้านกฎหมายและนโยบายรัฐที่ประชาชนเห็นว่าไม่เป็นธรรม โดยผู้กระทำการอารยะขัดขืนยินยอมรับผลทางกฎหมายที่จะตามมาด้วย การที่ประชาชนกลุ่มใหญ่เข้าไป ยึดทำเนียบรัฐบาล นอนบนสนามหญ้า ปลูกข้าว ใช้ชีวิตดุจบ้านของตนเองนั้น ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดง ‘อารยะขัดขืนขั้นสูงสุด’ เพื่อต่อต้าน ‘รัฐบาลทายาททุจริตเชิงนโยบาย’ ซึ่งอันที่จริงจากประวัติศาสตร์โลก นานาประเทศก็ใช้วิธี ‘อารยะขัดขืน’ กันทั่วไป ต่างกรรมต่างวาระ โดยเฉพาะในยุคในประเทศใดๆที่ผู้ครองอำนาจรัฐไม่ฟังเสียงของประชาชน โปรดพิจารณาว่าคล้ายๆกับยุคนี้ของเมืองไทยใช่หรือไม่ ?
“รัฐบาลทำผิดอะไร ?” เพราะเหตุใด ? ประชาชนกลุ่มใหญ่จึงกล้าหาญกระทำการ ‘อารยะขัดขืนขั้นสูงสุด’ ยึดทำเนียบรัฐบาล
จากบทความ “ร่วมกันกู้ชาติไม่ให้ล่มจม!!!” ของคุณสิริอัญญา ผู้จัดการออนไลน์ ความว่า....เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสกับคณะของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในโอกาสที่มีการเข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสว่า “ ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมด เพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจบริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไป ให้มีใช้ ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงินซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อย ไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง เรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อย ลำบากใจ นอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกหาว่าทำไม่ได้ดี ทำไม่ถูกต้อง ขอบใจทุกคนที่มาในวันนี้ และยังทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อให้ชาติบ้านเมืองมีเงินใช้ ใครที่บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง ”
กระแสพระราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาข้างต้นนี้มีความชัดเจนถูกตรงกับสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังมีการใช้จ่ายเงินเกินตัว มีการใช้จ่ายเงินโดยไม่ระวัง ไม่คำนึงถึงการบริหารการคลังซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทรงเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่าชาติบ้านเมืองขณะนี้ “ ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง ” ....
การใช้จ่ายเงินให้หมดไปโดยไม่ระวังมีอะไรบ้าง ? เมื่อได้ตรวจดูการผลักดันใช้จ่ายเงินของรัฐบาลที่มีลักษณะล้างบ้านผลาญเมืองขนาดใหญ่ และสำคัญๆ ก็สามารถประมวลได้ในเบื้องต้นดังนี้
โครงการที่หนึ่ง คือโครงการประชานิยมที่ใช้จ่ายเงินงบประมาณถึง 46,000 ล้านบาทไปหว่านละลายแม่น้ำเพื่อหาเสียงทางการเมือง โดยไม่สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ที่ถาวรใดๆ แก่ชาติและประชาชนเลย
โครงการที่สอง คือโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ที่กระเหี้ยนกระหือรือเร่งรัดผลักดันกันโดยที่ยังไม่มีโครงการ ไม่มีแบบแผนการก่อสร้าง และไม่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้เลย แต่กลับเร่งรัดจะเริ่มทำให้ได้ในปีนี้ ด้วยวงเงินงบประมาณถึง 30,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่รัฐสภาเดิมก็มีความสมบูรณ์พร้อม และใช้การได้ดีอยู่แล้ว
โครงการที่สาม คือโครงการเช่ารถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวี จำนวน 4,000 คัน ซึ่งใช้เงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่กำลังมีโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ถึง 9 สาย และปริมาณรถของ ขสมก. ก็มีมากพออยู่แล้ว หรือหากจะใช้กันจริงๆ ก็สามารถซื้อได้ในราคาเพียง 24,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่กลับทำโครงการเพื่อเช่าที่ต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าราคาซื้อ
โครงการที่สี่ คือโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมของประเทศลาวผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำโขง เข้ามายังภาคอีสานของประเทศไทย ด้วยวงเงินถึง 120,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนน้ำ หากยังมีภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงทุกปี ทั้งภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ความจำเป็นจริงๆ คือการขุดลอกหรือสร้างแหล่งน้ำเพื่อเก็บน้ำในฤดูฝนให้เพียงพอที่จะใช้สอยในฤดูแล้งต่างหาก ซึ่งใช้เงินราว 20,000 ล้านบาทก็เหลือจะพอ
โครงการที่ห้า คือโครงการสร้างทางหลวงพิเศษ ซึ่งวางแผนใช้เงินงบประมาณถึง 170,000 ล้านบาท โดยไม่จำเป็นและแพงเกินจริงมหาศาล และยังเป็นการเพิ่มรายจ่ายด้านพลังงานให้กับประเทศชาติขึ้นอีกมากมาย ทั้งๆ ที่ยังมีโครงการรถไฟรางคู่ซึ่งเคยมีแผนที่จะให้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลักทางบกอยู่แล้ว และใช้เงินเพียงไม่เกิน 70,000 ล้านบาท หรืออาจไม่ต้องใช้เงินเลยหากคิดอ่านให้สัมปทานที่เป็นธรรมแก่ชาติบ้านเมือง
โครงการที่หก คือโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่สอง ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 70,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่สนามบินสุวรรณภูมิปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่กว้างขวาง เป็นแต่มีการบริหารจัดการที่ ห่วยแตก และยังโกงกันไม่เลิก นอกจากนี้ยังมีสนามบินดอนเมือง ที่เคยเป็นสนามบินนานาชาติของประเทศซึ่งปล่อยให้ทิ้งร้างว่างเปล่าอยู่เฉยๆ หากจำเป็น ก็สามารถปรับปรุงใช้ได้ โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โครงการที่เจ็ด คือโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีแผนงานจะสร้างถึง 9 สาย และต้องใช้เงินกว่า 400,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้ผลักดันเรียบร้อยไปแล้ว 1 สายคือสายสีแดง และกำลังจะเร่งรัดผลักดันอีก 3 สายในเร็ววันนี้ ซึ่งเป็นการก่อหนี้มหาศาลโดยมิได้คำนึงถึงฐานะการเงินการคลังของประเทศเลย
โครงการที่แปด คือโครงการอื่นๆจิปาถะ โดยแฝงไว้ในงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนเงินกว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อเสียงตามนโยบายประชานิยมที่ไร้แก่นสาร กระทั่งเอาเงินไปแจก ส.ส. ภายใต้ชื่อว่างบ ส.ส. ทั้งๆ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และยังแฝงอยู่ในงบกลางที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจใช้จ่ายเงินโดยไม่มีโครงการใดๆ รองรับอีกด้วย….
การใช้จ่ายเงินให้หมดไปโดยไม่ระวังมีอะไรบ้าง ? เมื่อได้ตรวจดูการผลักดันใช้จ่ายเงินของรัฐบาลที่มีลักษณะล้างบ้านผลาญเมืองขนาดใหญ่ และสำคัญๆ ก็สามารถประมวลได้ในเบื้องต้นดังนี้
โครงการที่หนึ่ง คือโครงการประชานิยมที่ใช้จ่ายเงินงบประมาณถึง 46,000 ล้านบาทไปหว่านละลายแม่น้ำเพื่อหาเสียงทางการเมือง โดยไม่สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ที่ถาวรใดๆ แก่ชาติและประชาชนเลย
โครงการที่สอง คือโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ที่กระเหี้ยนกระหือรือเร่งรัดผลักดันกันโดยที่ยังไม่มีโครงการ ไม่มีแบบแผนการก่อสร้าง และไม่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้เลย แต่กลับเร่งรัดจะเริ่มทำให้ได้ในปีนี้ ด้วยวงเงินงบประมาณถึง 30,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่รัฐสภาเดิมก็มีความสมบูรณ์พร้อม และใช้การได้ดีอยู่แล้ว
โครงการที่สาม คือโครงการเช่ารถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวี จำนวน 4,000 คัน ซึ่งใช้เงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่กำลังมีโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ถึง 9 สาย และปริมาณรถของ ขสมก. ก็มีมากพออยู่แล้ว หรือหากจะใช้กันจริงๆ ก็สามารถซื้อได้ในราคาเพียง 24,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่กลับทำโครงการเพื่อเช่าที่ต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าราคาซื้อ
โครงการที่สี่ คือโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมของประเทศลาวผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำโขง เข้ามายังภาคอีสานของประเทศไทย ด้วยวงเงินถึง 120,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนน้ำ หากยังมีภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงทุกปี ทั้งภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ความจำเป็นจริงๆ คือการขุดลอกหรือสร้างแหล่งน้ำเพื่อเก็บน้ำในฤดูฝนให้เพียงพอที่จะใช้สอยในฤดูแล้งต่างหาก ซึ่งใช้เงินราว 20,000 ล้านบาทก็เหลือจะพอ
โครงการที่ห้า คือโครงการสร้างทางหลวงพิเศษ ซึ่งวางแผนใช้เงินงบประมาณถึง 170,000 ล้านบาท โดยไม่จำเป็นและแพงเกินจริงมหาศาล และยังเป็นการเพิ่มรายจ่ายด้านพลังงานให้กับประเทศชาติขึ้นอีกมากมาย ทั้งๆ ที่ยังมีโครงการรถไฟรางคู่ซึ่งเคยมีแผนที่จะให้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลักทางบกอยู่แล้ว และใช้เงินเพียงไม่เกิน 70,000 ล้านบาท หรืออาจไม่ต้องใช้เงินเลยหากคิดอ่านให้สัมปทานที่เป็นธรรมแก่ชาติบ้านเมือง
โครงการที่หก คือโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่สอง ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 70,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่สนามบินสุวรรณภูมิปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่กว้างขวาง เป็นแต่มีการบริหารจัดการที่ ห่วยแตก และยังโกงกันไม่เลิก นอกจากนี้ยังมีสนามบินดอนเมือง ที่เคยเป็นสนามบินนานาชาติของประเทศซึ่งปล่อยให้ทิ้งร้างว่างเปล่าอยู่เฉยๆ หากจำเป็น ก็สามารถปรับปรุงใช้ได้ โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โครงการที่เจ็ด คือโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีแผนงานจะสร้างถึง 9 สาย และต้องใช้เงินกว่า 400,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้ผลักดันเรียบร้อยไปแล้ว 1 สายคือสายสีแดง และกำลังจะเร่งรัดผลักดันอีก 3 สายในเร็ววันนี้ ซึ่งเป็นการก่อหนี้มหาศาลโดยมิได้คำนึงถึงฐานะการเงินการคลังของประเทศเลย
โครงการที่แปด คือโครงการอื่นๆจิปาถะ โดยแฝงไว้ในงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนเงินกว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อเสียงตามนโยบายประชานิยมที่ไร้แก่นสาร กระทั่งเอาเงินไปแจก ส.ส. ภายใต้ชื่อว่างบ ส.ส. ทั้งๆ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และยังแฝงอยู่ในงบกลางที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจใช้จ่ายเงินโดยไม่มีโครงการใดๆ รองรับอีกด้วย….
จากบทความของข้างต้น คงประเมินได้ว่าสนามหญ้าหน้าทำเนียบรัฐบาลที่เสียหายอย่างมีที่มาที่ไป (เพราะทุกท่านทราบดีว่าใครเป็นคนเหยียบ)นั้นมีมูลค่าถูกแสนถูก เมื่อเทียบกับการยักยอกโกงกินมโหฬารอย่างไร้ที่มาที่ไป จับมือใครโกงไม่ได้ของผู้ครองอำนาจรัฐ นอกจากการใช้งบประมาณที่สุรุ่ยสุร่ายของรัฐบาลดังกล่าวมาแล้วนั้น มีคำถามหลายคำถามที่รัฐบาลยังไม่มีคำตอบให้แก่ประชาชน เช่น
- เพราะเหตุใด ? รัฐบาลจึงไม่เร่งรีบดำเนินการตามกฎหมายกับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
- เรื่องปราสาทพระวิหาร เพราะเหตุใด? รัฐบาลจึงต้องเร่งรัดไปออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา จนเป็นเหตุให้ไทยมีปัญหาเรื่องดินแดน ซึ่งแม้ว่าภายหลังศาลปกครองจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กระทรวงการต่างประเทศ และคณะรัฐมนตรี “ยุติ” การดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรีที่รับรองการออกแถลงการณ์การร่วมไทย-กัมพูชา ในเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุดแล้ว แต่รัฐบาลยังละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการประกาศยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยกปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว เปิดช่องให้ 7ชาติ ฉวยโอกาสผ่าน “มรดกโลก” เข้ามาร่วมบริหารพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6ตารางกิโลเมตร รวมทั้งไม่แสดงจุดยืนเพื่อรักษาอธิปไตยทั้งดินแดนและแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทยจนถึงที่สุด
- เพราะเหตุใด ? รัฐบาลจึงไม่นำคุณทักษิณ ชินวัตรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏจนถึงปัจจุบันก็คือศาลรับฟ้องในทุกคำร้องที่มีไปถึงศาล ในนโยบายที่คุณทักษิณ ได้กระทำมาในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งบางคดีมีการออกหมายจับแล้วด้วย
- เพราะเหตุใด ? รัฐบาลจึงต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรค ตัดสิทธิทางการเมือง รวมทั้งเรื่องการให้สิทธิรัฐบาลสามารถทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภาหรือหวังช่วยเหลือนักโทษหนีคดีบางคน
- เพราะเหตุใด ? รัฐบาลจึงละเว้นการดำเนินการตามกฎหมายกับฝ่ายรัฐบาลเองที่กระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายฉบับเดียวกันกับที่รัฐบาลเรียกร้องให้กลุ่มประชาชนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับรัฐบาลเคารพและทำตามกฏหมาย
เราทุกคนมีสิทธิพลเมืองในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เช่นเดียวกับที่ได้ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรมาใช้อำนาจรัฐแทนเรา หากผู้แทนราษฎรดำเนินนโยบายรัฐที่ไม่ชอบธรรม สืบทอดอำนาจผ่านญาติมิตร หวังแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มากกว่าสร้างประโยชน์ให้แก่สาธารณะส่วนรวม แม้จะท่องคาถาว่า “รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง”(ซึ่งก็ชนะการเลือกตั้งเข้ามาอย่างไม่โปร่งใส ดั่งที่กกต.ตัดสินให้ยุบพรรคร่วมรัฐบาล เพราะกรรมการบริหารพรรคได้ใบแดงจากการโกงการเลือกตั้งไปแล้ว)
ที่สำคัญประชาชนไม่ได้มี ‘ฉันทามติ’ ให้นักการเมืองเข้ามาใช้อำนาจรัฐตามอำเภอใจโดยไร้การตรวจสอบ นโยบายสาธารณะที่มากไปด้วยทุจริตโกงกินไร้ศีลธรรม ย่อมสร้างเหตุอันก่อให้เกิดทุกข์ต่อผู้คนในสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง รวมทั้งสร้างสังคมไทยไร้จริยธรรม ไม่มีบรรทัดฐานของความถูกผิด ตามความฉ้อฉลปล้นจิตสำนึกที่นักการเมืองผู้ไม่เกรงกลัวต่อบาป ‘ก่อกรรมเก่า’ เอาไว้อีกด้วย
จากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทยที่โกงกินแทบทุกภาคส่วน ผนวกกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เริ่มจากการล้มลงของธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ เช่น บริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส กำลังส่งผลกระทบไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ด้วยสภาวะอันเลวร้ายทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากทุนนิยมเสรีโลกไร้พรมแดนเช่นนี้ ประเทศไทยควรพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส น้อมนำพระราชดำรัส “เศรษฐกิจพอเพียง”สร้างสรรค์สังคมประชาธิปไตยธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง ทวงคืนมโนสำนึกของผู้ครองอำนาจรัฐ กำหนดกติกาตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเข้มแข็ง มีบทลงโทษที่รุนแรง เพื่อปรับมาตรฐานจริยธรรมสร้างจิตสำนึกสาธารณะขั้นสูงสำหรับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงที่มีอำนาจในการตัดสินใจใช้เงินภาษีของประชาชนขึ้นใหม่ ส่งเสริมให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนไม่ดีมีอำนาจ
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการเมืองใหม่ที่โปร่งใสกว่าเก่า โดยประชาชนเพื่อประชาชน ดังนั้นผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือแม้กระทั่งรักตนเอง หวังจะให้ตนเองและครอบครัวได้อยู่อาศัยในประเทศที่มีสังคมแวดล้อม ที่ดีมีคุณธรรมพร้อมที่จะพัฒนาให้เจริญดียิ่งขึ้นไปแล้วนั้น ไม่ควรปล่อยให้การโกงกินเป็นเรื่องปกติ ไม่ควรปล่อยให้รัฐบาลขายชาติมาครองเมืองได้อีกต่อไป อาจจะดูอุกอาจไปบ้าง แต่ในวันนี้การตรวจสอบอย่างเงียบเฉย หรือรอคอยมโนสำนึกจากรัฐบาลที่ไม่อาจหลุดพ้นจากเงาเหลี่ยมของระบอบโกงกิน ย่อมไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาของชาติอันเนื่องจากการใช้อำนาจรัฐของกลุ่มทุนนิยมสามานย์
จึงเป็นเหตุผลสำคัญของการยึดทำเนียบเหยียบรังรัฐบาลฉ้อฉล กระทำการ‘อารยะขัดขืนขั้นสูงสุด’ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยสร้างการเมืองใหม่ให้ดีกว่าเดิม เฉกเช่นที่ มหาตมะคานธี เคยนำประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศอินเดียมาแล้ว ครั้งนั้น มหาตมะคานธี ให้การต่อศาลหลังจากที่ถูกจับพร้อมกับประชาชนนับหมื่น ที่ร่วมกัน ‘ดื้อแพ่ง’ ต่ออำนาจรัฐว่า “..การที่ข้าพเจ้ามิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่เพราะ ข้าพเจ้าไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเพราะข้าพเจ้า ต้องการปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น นั่นคือคำสั่งแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ของข้าพเจ้าเอง...” ?
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น