วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คุยกับพี่เจน :Community-based oral health คืออะไร


โดย ทพญ.ศันสณี รัชชกูล ศูนย์ทันตสาธารณสุขระหว่างประเทศ จ.เชียงใหม่


สวัสดีคะน้องๆชาวทันตภูธร และทุกท่านที่อ่านวารสารทันตภูธร ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณน้องๆกองบอกอ วารสารทันตภูธรที่กรุณาอนุเคราะห์พื้นที่ในวารสารให้พี่ได้มีโอกาสเขียนอะไรๆคุยกับน้องๆ น้องเก่าๆ(มากๆกกกก) เห็นชื่อพี่คงพอจำได้นะคะ พี่อยากให้บทความของพี่เป็นการพูดคุยกับน้องๆมากกว่า ให้เป็นการถามตอบในประเด็นที่อยากรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับงานทันตสาธารณสุข พี่จะได้คุยถูกเพราะบางทีมันไม่รู้จะเริ่มอย่างไร แต่ครั้งแรกพี่ขอ free style ไปก่อนแล้วกัน พี่คิดหัวข้อนี้ขึ้นมาเองเพราะเป็นหัวข้อที่เคยได้รับคำถามมาและจะให้ตอบสั้นๆ ก็คงไม่ได้เลยขออาศัยช่องทางทางวารสารทันตภูธรนี้แหละตอบคำถาม


ต้องขออภัยนะคะที่ชื่อเรื่องนี้เป็นภาษาต่างด้าว จะใช้คำว่าทันตสาธารณสุขในชุมชนมันก็ไม่เข้าไปถึงใจที่อยากจะสื่อออกมา ในตอนแรกๆที่พี่บอกใครๆว่าสถานที่ที่พี่ทำงานอยู่เป็น ศูนย์ที่ส่งเสริม Community-based oral health (WHO Collaborating Centre for Promoting Community-based Oral Health) พี่มักจะแถมไปว่า Community-based oral health ก็คืออะไรที่ไม่ใช่ Hospital-based คืองานทันตสาธารณสุขที่ออกไปทำในชุมชน ไม่ใช่ทำอยู่ใต้หลังคาของโรงพยาบาล


พอพูดอย่างนี้ก็จะมีคนตอบพี่อยู่เสมอๆว่า อ้อ เขาก็ทำ Community-based เพราะเขาไปออกหน่วย ให้บริการทันตกรรมในชุมชนอยู่เรื่อยๆ ออกไปให้ทันตสุขศึกษาในโรงเรียนอยู่เป็นประจำ พอได้คำตอบออกมาเช่นนี้พี่ก็อึ้ง ต้องเอาคำตอบที่ได้มาคิดต่อ ว่าอย่างนั้นมันเป็น Community-based ในความหมายของพี่ไหม มาคิดดูมันก็คงใช่ละ แต่มันคงใช่ไม่ถึง 10% ที่เราอยากจะสื่อ ในความคิดรวบยอดของพี่ การทำงาน Community-based จุดสิ้นสุดของงานก็คือ “ ความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหา ” คืองานที่เราลงไปลงทุนลงแรงไว้แล้ว เมื่อเราออกมาจากชุมชน หรือเมื่อโครงการจบ มันจะต้องยั่งยืนอยู่ในชุมชน และสูงสุดก็คืองานที่ได้ทำ


ไว้มีการพัฒนาก้าวหน้าต่อไป ด้วยชุมชนเอง และยังขยายสู่ชุมชนอื่นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งบุคลากรไปเริ่ม ในชีวิตพี่ทำงานทันตสาธารณสุขมากว่า 20 ปีพี่เห็นมามากมาย งานอะไรที่เราเข้าไปผลักดันให้เกิด พอเราออกมาจากชุมชนงานมันก็จบสิ้นอยู่ตรงนั้น ถ้าอยากจะให้อยู่ยงคงกระพันก็ต้องมีคนคอยผลักคอยดันอยู่เรื่อยๆ งานมันถึงจะคงอยู่ ดังนั้นงานทั้งหมดมันก็เลยมาเป็นภาระหนักอยู่ที่บุคลากร นับวันก็ต้องมีบุคลากรมากขึ้นเรื่อยๆ มีงบประมาณถมลงไปงานมันถึงจะไปได้ พอพวกเราล้มหายตายจากหรือย้ายไปที่อื่นงานมันก็ตายตามเราไปด้วย งานบางงานทำมานานถึง 15 ปีพอเราออกมามันก็หายไป ไม่มีที่ชุมชนจะคิดทำอะไรต่อ ทั้งๆที่มันเป็นประโยชน์ต่อเขา และลูกหลานของเขาเอง เห็นแล้วก็น่าเศร้าใจ


พูดมาถึงตรงนี้ก็คงมีคนค้านขึ้นมามากมาย ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ไอ้ที่พี่พูดมาหน่ะ งานมันจะเดินไปเองได้อย่างไร งานมันจะขยายไปเองได้อย่างไร โดยที่พวกเรานั่งกระดิกขามองดูอยู่ห่างๆ แต่พี่ไม่อยากจะพูดว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ใครอยากดูมาดูได้เลย และก็จะมีคำถามตามมามากมาย ว่าจะทำได้อย่างไร ทำได้ซิคะ การทำงาน community-based ไม่ได้ยากอะไรเลย ใครๆเขาว่าขั้นตอนที่ยากที่สุดในการทำงาน community-based ก็คือขั้นแรกของการทำงาน นั้นก็คือ การเปลี่ยนความคิดของเราเองนั้นแหละ คือขั้นตอนที่ยากที่สุด



พี่อยากถามว่า พวกเรามีความเชื่อไหมค่ะว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์นะมีศักยภาพในตนเอง มนุษย์มีปัญญา มีความสามารถ ที่จะแก้ไขปัญหาที่เป็นของเขาเอง พี่ขอย้ำว่ามนุษย์ทุกคนนะคะไม่จำกัดว่าเขาจะมีการศึกษาแค่ไหน จะจบ ป 4 หรือปริญญาเอก ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติข้อนี้ทั้งสิ้น


เวลาที่พี่จะกล่าวขึ้นต้นเรื่องความเชื่อนี้พี่มักจะเล่าเรื่อง ของ ดร. เย็น นักพัฒนาชาวจีนผู้ยิ่งใหญ่มาเป็นอุทาหรณ์ประกอบ เรื่องของ ดร.เย็นนี่พี่ก็อ่านมาอีกที อ่านมานานมากแล้ว อ่านมาจากไหนก็จำไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่ประทับใจอยู่ไม่มีลืม เรื่องมีอยู่ว่า ในการสงครามที่เกิดขึ้นในเมืองจีนครั้งหนึ่ง ชาวบ้านถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารมากมาย การไปเป็นทหารนี้ก็ต้องห่างบ้านเรือนไปรอนแรมอยู่ในสนามรบเป็นเดือนเป็นปี ดร. เย็น ก็อยู่ในสนามรบนี้ด้วย


วันหนึ่งก็มีชาวบ้านคนหนึ่งมาขอให้ดร.เย็นช่วยเขียนจดหมายถึงบ้านให้เพราะแกเขียนหนังสือไม่เป็น แต่คิดถึงบ้านมาก ดร.เย็นก็เขียนให้ ชาวบ้านคนนี้ก็ได้ส่งจดหมายกลับบ้าน พอได้รับจดหมายตอบมาก็เอามาให้ดร.เย็นอ่านให้ฟัง และก็เขียนตอบไปให้อีก พอข่าวนี้ล่วงรู้ไปในวงกว้างขวาง ก็มีชาวบ้านมาขอให้ดร.เย็นเขียนจดหมาย และอ่านจดหมาย มากขึ้นเรื่อยๆ จนดร.เย็นทำไม่ไหวแล้ว ชาวบ้านจำนวนหนึ่งแทนที่จะมาขอให้ดร.เย็นเขียนจดหมายให้ พวกเขาเปลี่ยนมาเป็นขอให้ดร.เย็นช่วยสอนหนังสือให้


ดร.เย็นก็อนุเคราะห์ สอนหนังสือให้แก่คนที่อยากจะเรียน จนในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็เขียนจดหมายได้เอง นอกจากจะเขียนจดหมายได้เองแล้วยังช่วยเขียนให้คนอื่น และคนเหล่านี้บางคนยังพัฒนาตนเองไปเป็นผู้สอน สอนให้คนอื่นๆเขียนหนังสือได้อีกด้วย จากประสบการณ์นี้ก็ทำให้ดร.เย็นได้เห็นถึงศักยภาพที่มีอยู่ในมนุษย์ ชาวบ้านเหล่านี้ไม่ได้โง่เลย การที่เขาเขียนหนังสือไม่ได้มาก่อนเป็นเพราะเขาขาดโอกาส และวิธีคิดที่ดร.เย็นได้นี่แหละคะ ที่ทำให้แกกลายมาเป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ต่อมา


อ่านเรื่องนี้แล้วน้องๆเริ่มเชื่อในศักยภาพของมนุษย์หรือยังคะถ้าเริ่มเชื่อแล้วก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก แต่กว่าสิ่งนี้จะพัฒนาฝังรากลึก จนสะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรมในการทำงานของเราก็คงต้องใช้เวลาอยู่ ตัวพี่เองนะอ่านเรื่องนี้มากว่า 20 ปี และก็ชอบมาก เล่าต่อมาเรื่อยๆ และพี่ว่าเวลาพี่ทำงานในชุมชนก็คิดอย่างนี้มาตลอด แต่กว่ามโนกรรม จะสำแดงออกมาเป็นกายกรรม และวจีกรรม ที่สอดคล้องกัน จนทุกคนสัมผัสได้ก็ใช้เวลาพอสมควรที่เดียวแหละคะ


ถ้าน้องๆเริ่มคิดได้ในวันนี้ก็ถือเป็นบันไดขั้นที่ 1 ที่เป็นบันไดที่สำคัญมากของการก้าวต่อไป พี่คิดว่าบทความมีเนื้อที่จำกัด พี่คงต้องจบบทความตอนนี้แต่เพียงเท่านี้ แล้วเราจะได้พบกันใหม่ในฉบับต่อไปนะคะ วันนี้พี่ขอฝากการบ้านไว้ให้น้องๆที่เคยออกไปทำงานในชุมชน ให้ลองคิดดูว่าน้องออกไปทำงานในชุมชนด้วยวิธีการคิดอย่างไร ทบทวนดูให้ดีนะคะ อย่าหลอกตัวเอง แล้วหยิบกระดาษดินสอมาจดไว้ คราวหน้าเราจะได้คุยกันต่อ ก็เรื่อง community-basedนี่แหละค่ะ พบกันฉบับหน้านะคะ



0 ความคิดเห็น: