วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Community based oral Health ทำอย่างไร



โดย ทพญ.ศันสณี รัชชกูล
ศูนย์ทันตสาธารณสุขระหว่างประเทศ จ.เชียงใหม่


ในฉบับที่แล้วได้เกริ่นไว้แล้วในเรื่องว่า Community based oral health ในความหมายของพี่มันคืออะไร ในฉบับนี้เรามาต่อกันว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้นะคะ อย่างที่ว่าไว้นะคะว่า ถ้าอยากให้เกิด Community based oral health ต้องเริ่มจากตัวเราก่อน เริ่มจากทัศนคติของเรา วิธีคิดของเรานี่แหละคะต้องมาก่อนเลย ก่อนที่พี่จะจบไปคราวที่แล้ว พี่ขอให้น้องๆ เขียนออกมาว่าเวลาออกไปทำงานในชุมชนน้องๆมีวิธีคิดอย่างไรใช่ไหมคะ เขียนมาได้ว่าอย่างไรพี่ไม่รู้ แต่พี่ขอเล่าสิ่งที่พี่เคยคิดในสมัยแรกที่พี่ทำงานชุมชนก่อนนะคะ


แม้พี่จะมีแนวคิดว่าเชื่อในศักยภาพของมนุษย์อย่างไร เวลาที่พี่ออกไปทำงานในชุมชนพี่ก็จะพยายามคิดๆๆๆๆ ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันควรจะเป็นอย่างนี้นะ มันถึงจะเหมาะ ปัญหามันถึงจะแก้ไขได้ ออกไปถึงชุมชนก็พยายามพูดชักแม่น้ำทั้งห้าให้เขาเห็นพ้อง กับเรา และให้เขาทำอย่างที่เราคิด เขาก็ทำละค่ะ อาจเพราะเขาเกรงใจเรา เห็นเราตั้งใจจริงไม่เสียหายอะไรก็ทำๆไปแต่มันไม่ยั่งยืนหรอกนะคะ พอเราหายไปหน่อย เขาก็เลิกทำ พี่ว่าพี่ก็ทำอย่างนี้มาคงเป็นสิบปีเลยละค่ะ จนกระทั้งเรามาได้รับประสบการณ์ตรงเลย ลองแชร์ให้น้องๆอ่านดูแล้วกันนะคะ


หลายปีก่อนที่ศูนย์ฯพี่ทำงานเรื่องการแก้ไขปัญหาฟลูออไรด์ในน้ำสูงที่ทำให้ประชาชนเป็นฟันตกกระกันทั้งหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีอาการทางกระดูกและข้อในคนที่มีอายุมากขึ้นด้วย ปัญหามันเกิดมาจากมีฟลูออไรด์อยู่ในน้ำที่เขาดื่มมากเกินไป ชาวบ้านแถบนี้ใช้น้ำจากแหล่งน้ำใต้ดินมีฟลูออไรด์ปนเปื้อนอยู่โดยธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาจะว่ายากมันก็ยากแต่จะว่าง่ายก็ง่าย ที่ว่าไม่ยากก็คือปัญหามันตรงไปตรงมา แค่กินน้ำที่มีฟลูออไรด์ต่ำก็แก้ได้แล้ว แต่ที่ว่ายากก็คือจะต้องกินน้ำที่มีฟลูออไรด์ต่ำตั้งแต่แรกเกิดไปจนตลอดชีวิต คือการดำเนินการมันต้องยั่งยืน ไม่ใช่แค่ ห้าปี สิบปี แต่ตลอดชีวิต


ความคิดของเราก็คือชาวบ้านเขามีวิถีชีวิตที่อยู่กับน้ำจากใต้ดินมาหลายชั่วอายุไปเปลี่ยนคงจะยาก ก็พยายามคิดเครื่องกรองฟลูออไรด์ให้ ออกแบบอย่างดี ให้ง่ายต่อการใช้ เปลี่ยนไส้กรองก็ทำได้ง่ายๆชาวบ้านทำเองได้สบายมาก ชาวบ้านก็ใช้กันอย่างดีไปประเมินเขาก็ว่าเขาชอบเขาจะใช้ เวลาผ่านไปหลายปี (ไวเหมือนในหนังไทย) เมื่อเราเขาไปตามดูในหมู่บ้าน คาดว่าเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดหลังจากการใช้น้ำที่ผ่านเครื่องกรองน่าจะมีฟันแท้ที่ขาวใสปิ๊ง แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เด็กรุ่นใหม่ก็ยังเป็นฟันตกกระอยู่นั่นแหละค่ะ


ไปดูเขาก็บอกว่าเขาใช้เครื่องกรองน้ำ แต่จริงๆก็คือเขาใช้จริงแต่การดูแลไม่เพียงพอ การเปลี่ยนไส้กรองทำไม่สม่ำเสมอ ไส้กรองมันหมดอายุไปแล้วก็ยังใช้ต่อไป เป็นเช่นนี้กันทั้งหมู่บ้าน และทุกหมู่บ้านที่เราแนะนำให้ใช้ เครื่องกรองน้ำเลย การใช้เครื่องกรองน้ำโดยไม่เคยดูแลก็คงเป็นอุปนิสัยของคนไทยโดยทั่วไป เพราะเราจะเห็น เครื่องกรองน้ำประเภทต่างๆ ตั้งเป็นอนุสาวรีย์สกปรกๆอยู่ทั่วไปในบ้านคนไทย ไม่ว่าจะซื้อหามาแพงเพียงใด


แต่ในการดำเนินงานโครงการนี้ เราบังเอิญไปพบหมู่บ้านหนึ่งที่เราไม่ได้แจกเครื่องกรองน้ำ ถ้าหากชาวบ้านหมู่นี้ต้องการใช้เครื่องกรองน้ำด้วย ต้องซื้อทางเราจะขายให้ในราคาไม่แพง เราพบว่าเด็กรุ่นใหม่ของหมู่บ้านนี้มีฟันแท้ขาวสวยปิ๊งเลย ก็เลยเข้าไปตามดูว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้านนี้ ปรากฏว่าหมู่บ้านนี้ชาวบ้านหันมาใช้น้ำฝน มีการสร้างถังน้ำฝนกันทั่วทั้งหมู่บ้านเลย ชาวบ้านใช้น้ำทั้งดื่ม และประกอบอาหารจากน้ำฝนทั้งสิ้น



เราได้ตามไปจนพบบุคคลต้นเรื่องก็คือ พ่อหลวงสมิง (ชาวเชียงใหม่เรียกผู้ใหญ่บ้านว่าพ่อหลวง) ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง พ่อหลวงเล่าว่า การแก้ปัญหาฟันตกกระ โดยการซื้อเครื่องกรองน้ำมาใช้ในหมู่บ้านนั้น ทำให้เขาต้องผ่านกระบวนการคิด ตริตรอง และตัดสินใจ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง

พ่อหลวงสมิงเล่าว่า เขาได้ติดตามฟังกระบวนการให้ความรู้ของเราอย่างใจจดใจจ่อ ทำให้เข้าใจว่าฟันตกกระในหมู่บ้านของเขาเกิดจากอะไร เขาได้เก็บน้ำทุกแหล่งในหมู่บ้านส่งตรวจ รวมทั้งน้ำฝนด้วย เขาพบว่ามีน้ำที่ปลอดภัยอยู่แค่สองแหล่ง คือ น้ำที่ผ่านเครื่องกรองและน้ำฝนเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาเครื่องกรองน้ำแล้ว เห็นว่าในระยะยาวไปไม่รอดแน่ จึงคิดใช้น้ำฝน ด้วยกองทุนเพียงหกพันบาท ผู้นำอย่างพ่อหลวงสมิง สามารถบริหารให้เกิดการหมุนเวียนเกิดเป็นถังเก็บน้ำฝนได้ครบทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้าน


จากประสบการณ์นี้พี่ได้บทเรียนมากเลย ก่อนที่น้องจะอ่านต่อไปนี้น้องลองคิดพิจารณาดูซิคะว่า จากบทเรียนนี้น้องได้ข้อคิดอะไรบ้าง สำหรับพี่แล้วมันเปลี่ยนวิธีคิดของพี่เลยแหละ เริ่มจากคิดได้ว่าสิ่งที่เราดำเนินการมันเป็นวิถีชีวิตของเขา และชีวิตใครคนนั้นต้องเลือกเอง ไม่ใช่คิดให้เขา

ก่อนดำเนินการโครงการนี้เราศึกษาชุมชน ศึกษาวิถีชีวิตเกือบตาย ว่าเขามีวิถีชีวิตกันอย่างไร มีประวัติกันมาอย่างไรจึงใช้แต่น้ำจากใต้ดิน โดยที่เราคงจะลืมถามเขาว่าเขาอยากได้อะไร อะไรจะเหมาะกับชีวิตเขา ไม่ได้เอาเขาเข้ามาร่วมในกระบวนการคิดของเรา ไปคิดแทนเขาหมด บทเรียนนี้คงเป็นบทเรียนเบื้องต้นที่ทำให้ พี่เปลี่ยนวิธีในการดำเนินงานกับชุมชน พอเราได้บทเรียนอันมีค่านี้เราก็เริ่มทดลองใช้วิธีการใหม่ในการเข้าไปทำงานกับชุมชน

ตอนนี้เนื้อที่ที่บอกอให้พี่กำลังจะหมดแล้วค่ะ จะเล่าต่อก็ไม่พอขออดใจไว้ฉบับหน้านะคะ รับรองว่าเรื่องตอนต่อไปสนุกเร้าใจแน่นอนค่ะ พี่เจนรับประกันคุณภาพ และขอโฆษณาไว้ล่วงหน้าค่ะ ก่อนจบ ขอฝากอะไรไว้เล็กๆน้อยๆนะคะ พบกันฉบับหน้าค่ะ


Casca....... So every bondman in his own hand bearsThe power to cancel his captivity. Shakespeare, Julius Caesar



ถังน้ำฝนถังแรกของบ้านป่าไผ่ ตั้งอยู่ที่บ้านพ่อหลวงสมิง

0 ความคิดเห็น: