สวัสดีค่ะ เป็นอย่างไรบ้างคะ 2 ตอนที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้เรื่องการประเมินตนเองระดับบุคคล และระดับหน่วยงาน ก็คงเหมาะสำหรับโรงพยาบาลที่กำลังเริ่มๆหรือหลายโรงพยาบาลผ่านการรับรองแล้ว แต่อาจจะกลับมาทบทวนใหม่เพื่อรองรับการ Re accreditation เหนื่อยไหมคะ จากที่คุยกับหลายๆคนจะมองและรู้สึกว่างานคุณภาพเหมือนยาขม ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากได้ ไม่อยากทานและทำให้หลายคนฝากมาบอกว่า เครียดมากถึงมากที่สุด จนน้องๆทันตแพทย์หลายคนถึงกับจะลาออก เย็นไว้ก่อนนะ ช้านิด Slow Slow
เผอิญ HA National Forum ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดประชุมวิชาการภายใต้ Theme หลักคือ “ Living organization องค์กรที่มีชีวิต” ในเดือน มี.ค. 2551 มีโอกาสได้รับเอกสาร จากท่านอาจารย์นายแพทย์ อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล ท่านผอ.พรพ. จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยอาจารย์ท่านได้ตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้เกิดสมดุลระหว่าง
การมีระบบคุณภาพและความสุขของคนทำงาน นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความมีชีวิตขององค์กร คือความสามารถในการเรียนรู้ ความยืดหยุ่นที่จะปรับตัว สร้างสรรค์ และมีความรู้สึกนึกคิดร่วมในเชิงบวกโดยไม่มีขีดจำกัด
William A Guillory ได้กล่าวไว้ในThe Living Organization – Spirituality in the Workplace เกี่ยวกับกระบวนทัศน์ทางจิตวิญญาณในที่ทำงาน โดยให้ข้อแนะนำไว้ดังนี้
1. Be satisfied with What you have – it is more beautiful than You think ขอให้พึงพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ ซึ่งมีมากมายมหาศาลกว่าที่เราคิด ความพึงพอใจนำไปสู่ความผ่อนคลายและโอกาสที่จะนำเอาศักยภาพของความสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้มากมาย
: ทุกวันนี้เราพอใจหรือยังกับสิ่งทีเรามีอยู่ สิ่งที่เราเป็นอยู่ เราเป็นทันตแพทย์ เวรกลางคืนเราก็ไม่ต้องอยู่ เราจะไม่ถูกปลุกมา CPRคนไข้ , เราเป็น ทันตาภิบาลเราได้มีโอกาสบริการคนไข้ ได้ออกชุมชน เก่งกว่าทันตแพทย์บางคนอีก พอใจเถอะนะ อย่าน้อยอกน้อยใจกันไปใย
2. Be of one mind with an undetifined number of parts – it is the key to our existence. ขอให้มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับส่วนย่อยอื่นๆซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วน นั่นคือความหมายสำคัญในการมีอยู่ของเรา ขยายความให้ชัดขึ้นสำหรับในองค์กรก็คือการมีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคน ทุกหน่วยในองค์กร ถ้าเราไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกับส่วนอื่น การที่เราอยู่ตรงนั้นก็เป็นการอยู่อย่างไร้ความหมาย
: หน่วยงานทันตกรรมของเราก็มีกันอยู่แค่นี้ ทันตแพทย์ ทันตาภิบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ เรายังไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกันอีกหรือ แล้วเราจะให้คนอื่นๆนอกจากหน่วยงานเรา มาเป็นหนึ่งเดียวกับเราได้สนิทใจอย่างไร ถ้าเรากันเองยังไม่เป็นหนึ่งเดียว
3. Be compassionate to one another – more understanding and less action is necessary. ขอให้มีความเห็นใจ เอื้ออาทรต่อกันและกัน จะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น และไม่ต้องทำอะไรกันมากมาย
: ทันตแพทย์ ทำงานหนัก Case ยาก Case ยาว ก็ให้กำลังใจกันหน่อย ทันตาภิบาล ลูกป่วย แม่ไม่สบาย ชวนกันไปเยี่ยม ทำงานแทนกันได้ไหม ฯลฯ
4. Be open to Your inner wisdom – it is there to guide You in times of difficulty. ขอให้เปิดรับปัญญาญาณภายในของเรา ซึ่งคำตอบที่จะชี้แนะในยามที่เราประสบปัญหาที่ยากลำบากมีอยู่แล้วในตัวเรา อย่างที่บางท่านเรียกว่า “ปิ๊งแว๊บ” อยู่ที่ว่าเราจะทำให้ตัวเราผ่อนคลายและเปิดรับข้อมูลภายในของเราได้มากเพียงใด
: แม้จะทำงานกันหนัก เจอกับปัญหายุ่งยากกันแค่ไหน ลองอยู่กับตนเองในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น ฟังดนตรีบรรเลงเบาๆ แล้วความคิด “ปิ๊งแว๊บ” หรือ “ปัญญาญาณ” ซึ่งอาจเป็นทางออกปัญหาที่เราพยายามคิดมาจนหัวแทบแตก
5. Be open to God – it is who You are. ถ้าเป็นคริสต์ก็คือขอให้ค้นหาพระเจ้าในตัวเรา ถ้าเป็นพุทธก็คือขอให้ค้นหาความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ในตัวเรา
: ว่างๆหาเวลาไปปฏิบัติธรรม หรือกิจกรรมในศาสนาของเรา หรือปฏิบัติธรรมในขณะทำงาน เพราะการทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม
6. Be more of a mind to give and less to receive – Your gratitude will be unbounded. ขอให้มีใจที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ จะเป็นการแสดงออกถึงสำนึกในคุณค่าของคนรอบข้าง
: วันนี้ได้มอบอะไรให้แก่ใครหรือยัง ง่ายๆ ก่อนไหม รอยยิ้มไง ตื่นนอนมอบให้คนข้างๆก่อนเลย ออกจากบ้านมาก็มอบให้ เพื่อนร่วมงาน คนไข้ มอบไปเรื่อยๆรับรองเลยเดี๋ยวได้รับคืนมาเต็มเลย
7. Be one with everyone and everything and you will find contentment. ขอให้เป็นหนึ่งเดียวกับทุกๆคน และทุกๆสิ่ง แล้วเราจะมีความสุข
: มวลมิตรอยู่รอบตัว เพื่อนร่วมงาน คนไข้ หัวหน้า ลูกน้อง เอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วเราก็จะพบกับมิตรภาพมากมาย
8. Be without want or need and You will be free.ขอให้ขจัดความอยากหรือความต้องการ แล้วเราจะเป็นอิสระ
: ยิ่งตามยิ่งเหนื่อย พอเพียง พอใจ ในสิ่งที่มีเพราะมันอยู่ที่เราจะให้คุณค่าสิ่งที่เรามีมากพอหรือยัง ถ้ายังก็คงเหนื่อยอีกนาน
9. Be more in the moment for that is all You have. ขอให้เป็นอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น นั่นคือทั้งหมดที่เรามีอยู่
: หลายคนทำงานร่วมกันมีเรื่องไม่เข้าใจกันตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน ก็ยังผูกใจเจ็บกันอยู่ แล้วก็ทุกข์ทุกครั้งที่เจอหน้ากันยังทำงานด้วยกันทุกวัน ก็เลยเครียดทุกวัน
10. Be more loving of who you are – there is no greater ,or less ,than You. ขอให้รักในสิ่งที่เป็นตัวเรา ไม่มีอะไรที่มากไปกว่าหรือน้อยไปกว่าตัวเรา
: บอกกับตัวเองทุกวัน ฉันภูมิใจในตัวฉันที่สุด
11. Be of love, because that is all You have to give.
ขอให้เปี่ยมด้วยความรัก นั่นคือสิ่งเดียวที่เราจะต้องให้กับคนอื่น
12. Be more and do less. ขอให้อยู่อย่างรู้เท่าทันกับตัวเองให้มากขึ้น และทำสิ่งต่างๆให้น้อยลง
ลองมาเทียบเคียงกับหน่วยงานของเราดูซิว่าหน่วยงาน (องค์กร) ของเราจะเป็นองค์กรที่มีชีวิตได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม องค์กรเราจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่สมาชิกทีมของเราทุกคน ถ้าเรามีความเป็นทีมอยู่แบบพี่น้องกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเอื้ออาทร ก็จะตามมา แล้วองค์กรเราก็จะมีชีวิตชีวา แม้งานจะหนักจะเหนื่อยแค่ไหนก็จะมีความสุขกันทั่วหน้า ลองดูนะคะ ชวนกันไปทานข้าวบ้าง Meeting กันในฝ่ายบ้าง ใครมีแนวทางใด ที่สร้างองค์กรหรือหน่วยงานของท่านให้มีชีวิต เชิญเขียนมาแลกเปลี่ยนกันนะคะ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น