วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

นานาทัศนะ ..... “ แนวทางการจัดบริการทันตกรรมในศูนย์สุขภาพชุมชน ” โดย ช่อชะอม


โดย ช่อชะอม


ปรัชญาศูนย์สุขภาพชุมชน “ ใกล้บ้านใกล้ใจ ” เพื่อให้เข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น ทั้งประชาชนทั่วไปที่อยู่ในเขตพื้นที่บริการ และที่สำคัญคือ ผู้ด้อยโอกาสหรือผู้ที่สังคมควรช่วยเหลือเกื้อกูล นั่นคือ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และ สามารถดูแลได้อย่างเป็นระบบ องค์รวม ทั้งการให้บริการทั่วไป และการวางแผนงานส่งเสริมป้องกันที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องมีระบบการส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ สู่สถานพยาบาลลำดับสูงขึ้นไป

แนวคิดการจัดบริการ
จึงต้องสอดคล้องกับความมุ่งหมายในการจัดตั้ง ศูนย์สุขภาพชุมชน ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั่นคือ บริการที่จำเป็นต้องจัดให้มี ควรจะเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ ซึ่งในทางทันตกรรม เช่น ขูดหินน้ำลายในกรณีไม่มีปัญหาซับซ้อน ถอนฟันอย่างง่าย อุดฟันอย่างง่าย การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก การวางแผนงานเกี่ยวกับระบบสุขภาพชุมชน

สิ่งส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน คือ การทำงานเป็นทีมสุขภาพ การมองสุขภาพเป็นระบบ การปฏิบัติงานเชิงรุกในชุมชน การใช้แฟ้มชุมชน แฟ้มครอบครัวให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถมองภาพรวมได้ และส่งเสริมให้ชุมชนเป็นตัวหลักในการดูแลสุขภาพตนเองและชุมชน การให้เวลาในการทำงานเชิงรุกและการบริการรักษาในสัดส่วนที่เหมาะสม

ปัจจัยที่มีผล คือ เขตพื้นที่บริการ หากมองความมุ่งหมายของสุขภาพชุมชนว่าแท้จริงแล้วคือสถานีอนามัย แต่เดิม ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงบุคลากรวิชาชีพอื่นๆ อาจสามารถปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ยากนัก ( ยกเว้นพื้นที่ขาดแคลน ) แต่เมื่อพิจารณาถึงอัตรากำลังทันตบุคลากร (ซึ่งหมายถึง ทันตาภิบาล) ที่มีอยู่ในศูนย์สุขภาพชุมชน พบว่าอยู่ในอัตราส่วนที่มากกว่า ทันตาภิบาลหนึ่งคนต่อหนึ่งสถานีอนามัย ในขณะที่บุคลากรสาธารณสุขกลุ่มอื่นดูแลพื้นที่เพียงเขตรับผิดชอบของสถานีอนามัย แต่ทันตาภิบาลกลับต้องดูแลพื้นที่ในลักษณะโซน คือ มากกว่าหนึ่งสถานีอนามัย ย่อมทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้เลย และจากสภาพปัญหาที่ต้นสังกัดคือสถานีอนามัย ผู้บังคับบัญชาคือ หัวหน้าสถานีอนามัย พบว่า ส่วนใหญ่สามารถปฏิบัติงานตามเป้าหมายของสถานีอนามัยตนเองได้ คือ มีหมู่บ้านที่รับผิดชอบในการลงเยี่ยมบ้าน แต่หากมองระดับโซน พบว่าบริการที่สามารถจัดให้ได้คือ บริการในคลินิกทันตกรรม

ประเด็นพิจารณาในเบื้องต้น ภายใต้ข้อจำกัดของสถานการณ์ปัจจุบัน คือ ทำงานเชิงรุกในพื้นที่บริการของสถานีอนามัยตนเอง บริการในคลินิกทันตกรรมในพื้นที่โซน ซึ่งหลายๆแห่งทำเช่นนี้อยู่และทำได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว และรอเวลาให้มีทันตาภิบาลครอบคลุมทุกพื้นที่สถานีอนามัยในอนาคต อย่างมีความหวัง ( ปัจจุบันมีอัตรากำลังทั้งหมดประมาณ สองพันคนแต่ความต้องการประมาณแปดพันคน ออกนอกระบบบ้างทุกปี ปัจจุบันไม่มีทุน ไม่มีตำแหน่งข้าราชการให้ กำลังการผลิตของวสส.ปีละสามถึงสี่ร้อยคน )

แนวทางวางแผนงาน ควรทำเป็นช่วงระยะเวลา และมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของบุคลากรรวมทั้งตัวชี้วัดที่ชัดเจน ตั้งแต่ระดับนโยบาย เพื่อให้สามารถผลิตและจัดสรรบุคลากรให้ลงปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการและสอดคล้องกับสถานการณ์แต่ละระยะ เช่น หากต้องการให้เน้นงานเชิงรุก ตัวชี้วัดอาจเป็นสัดส่วนชนิดบริการ สัดส่วนเวลาบริการส่งเสริมป้องกันต่อเวลาบริการรักษา ประเภทของผลงาน ทั้งในระดับบุคคลและหน่วยงาน




ข้อควรพิจารณาเป็นพิเศษ

ตัวบทกฎหมาย ที่รองรับการปฏิบัติงานในปัจจุบัน มีเพียง การให้บริการทันตกรรมในสถานพยาบาลของรัฐภายใต้การควบคุมกำกับของทันตแพทย์ ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถดูแลได้ใกล้ชิดและทั่วถึง กรอบความสามารถในการปฏิบัติงาน ที่แม้จะมีกำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่ในพรบ.ปี 2539 เปิดช่องไว้ว่า...“หรือปฏิบัติงานอื่นๆตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการ” ซึ่งพบสภาพปัญหาในปัจจุบัน ที่ต้องทำงานเกินศักยภาพทั้งงานทันตกรรมเอง หรืองานสาธารณสุขอื่นๆ เนื่องจากผู้บังคับบัญชา คือ หัวหน้าสถานีอนามัยนั้นๆ สั่งการ (และผู้ปฏิบัติงานมักจะเป็นน้องใหม่ๆ ที่ไม่กล้าต่อรอง ) และในอนาคตจะย้ายไปสังกัดภายใต้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นคนละสังกัดกับทันตแพทย์ ที่กล่าวว่าจะต้องควบคุมกำกับ แต่ไม่มีอำนาจสั่งการจริงๆ ทั้งยังไม่มีกฎหมายรองรับ (ดูเหมือนจะเป็นหมอเถื่อน)

ศักยภาพบนความคาดหวัง ที่ว่า จะต้องทำงานเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องมีการฝึกอบรม พัฒนาและประสบการณ์ในการทำงานกับชุมชน เมื่อเทียบกับสถานการณ์จริง ทั้งโอกาสจากหน่วยงานและหน่วยงานที่จัดโปรแกรมการฝึกอบรมที่ยังไม่เปิดกว้างนัก ( ระดับทันตแพทย์เองยังหาที่อบรมยาก )

แผนการพัฒนาวิชาชีพ จากแนวคิดเดิมในการผลิตทันตาภิบาลสองปี (dental nurse) เป็นทันตาภิบาลสี่ปี (dental hygienist ) ทั้งอัตรากำลังเดิมและผลิตใหม่ และเป้าหมายการผลิตของวิชาชีพซึ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเป็นหลัก แต่อาจด้วยข้อจำกัด จากปัญหาขาดแคลนทันตบุคลากรและความต้องการบริการของประชาชน จึงทำให้ลักษณะการปฏิบัติงานเน้นการรักษาเป็นหลัก หรือในบางพื้นที่ที่ทำงานเชิงรุกไปด้วยและต้องทำงานรักษาพยาบาลไปด้วย ( ทั้งในโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพชุมชน ) ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาภาระงานที่หนักเกินไป หากจะหันกลับมาเน้นการทำงานเชิงรุก ต้องปรับแนวทางการทำงานของทันตแพทย์ใน CUP เองให้เน้นงานบริการพื้นฐานมากขึ้นเพื่อสามารถเพิ่มความครอบคลุมในการให้บริการ ตามสิทธิผู้ป่วย และเป้าหมาย (ร้อยละสิบของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ) นั่นหมายถึงการเข้าสู่อีกปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ไข นั่นคือ การที่ทันตแพทย์ให้ความสำคัญกับงานเฉพาะทางมากกว่างานพื้นฐาน ไม่ว่าจะด้วย ชุดสิทธิประโยชน์ทางทันตกรรมที่มากขึ้น ความต้องการการยอมรับ ( เช่น เดียวกับที่ทันตาภิบาลบางส่วนอยากทำงานรักษา ) แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ความก้าวหน้า ซึ่งจำเป็นจะต้องแก้ไขควบคู่กันไป

บทสรุป การจัดบริการทันตกรรมภายใต้บริบทสถานการณ์ปัจจุบันนับว่าครอบคลุมพอสมควร เพียงแต่จะต้องมีระบบควบคุมกำกับให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง นั่นหมายถึงการต้องทำความเข้าใจกับบุคลากรทุกระดับทั้งที่เป็น ทันตบุคลากร และบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆว่าเจตน์จำนงของการจัดบริการเป็นอย่างไร ทันตบุคลากรแต่ละระดับจะต้องทำงานอย่างไร รวมทั้งปรับโครงสร้างการบริหารงานให้ทันตาภิบาลที่ปฏิบัติงานในศูนย์สุขภาพชุมชนอยู่ในสังกัดของโรงพยาบาลโดยตรงไม่ใช่สถานีอนามัยหรือสสอ. เพื่อให้เอื้อต่อการควบคุมกำกับงานในแง่ตัวบทกฏหมายและการดูแลเรื่องความก้าวหน้าของบุคลากร ซึ่งทั้งหมดนี้คงต้องผลักดันในระดับนโยบาย นอกจากนั้นควรต้องเสริมแรงจูงใจให้ทันตบุคลากรแต่ละระดับทำงานได้อย่างรู้สึกมีศักดิ์ศรี ทันตาภิบาลสามารถทำงานเชิงรุกได้ด้วยความเชื่อมั่น ทันตแพทย์ในโรงพยาบาลสามารถทำงาน GP ได้อย่างภาคภูมิใจ รวมทั้งการพัฒนาระบบให้ ทันตแพทย์ในสสจ.และรพช. ระดับละอย่างน้อยหนึ่งคน มีศักยภาพในการดูแลและบริหารงาน ทันตสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ( อย่างมีแรงจูงใจเช่นกัน )


0 ความคิดเห็น: