โดย ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ
บรรณาธิการแจ้งว่า วารสารทันตภูธร ฉบับนี้ จะเป็นฉบับต้อนรับ ทันตแพทย์น้องใหม่ ที่จะเลือกทำงานในสังกัดต่างๆ และโดยเฉพาะสำหรับกระทรวงสาธารณสุข น้องๆ จะมีโอกาสเลือกไปทำงานได้ทั่วประเทศ รวมทั้งในเขตชนบท ในโอกาสนี้จึงขอพูดเชิงธรรมะสักเล็กน้อย เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในวาระนี้ (ต้องขออภัยต่อเพื่อนสมาชิกในศาสนาอื่นด้วยครับ แต่เชื่อว่าสิ่งที่จะพูดถึงนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน)
เมื่อนึกย้อนกลับไป ถึงวันแรกที่ผมเลือกไปทำงานที่ รพ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ในต้นเดือนเมษายน 2528 (ซึ่งเป็นช่วงก่อนจะมีทันตแพทย์ใช้ทุนรุ่นแรก ออกไปทำงาน 3 ปี ในปีนั้นมีเพื่อน ทันตแพทย์จากทุกสถาบันราว 15 คน สมัครทำงานกับกระทรวงสาธารณสุข) โดยมีสถานะเป็นลูกจ้างอยู่เกือบ 2 เดือน ก่อนได้บรรจุเป็นข้าราชการ รับเงินเดือน 3,750 บาท บวกกับเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเดือนละ 2,000 บาท ผมได้เป็นทันตแพทย์คนแรกของโรงพยาบาล และหลังจากทำงานอยู่เกือบครึ่งปี จึงได้รับจัดสรรยูนิตทำฟันและเครื่องขูดหินปูนมาให้บริการนักเรียนและประชาชน โดยก่อนหน้านั้น ก็ให้การรักษาเท่าที่ทำได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการถอนฟัน มีทันตาภิบาลหนึ่งคน (คุณอรุณี - แพทย์อะ) กับลูกจ้างช่วยงาน 1 คน(คุณอุไรวรรณ -แหวว)
แม้ดูเหมือนจะขาดแคลนในหลายๆเรื่อง แต่เราทำงานกันอย่างสนุกสนาน ด้วยผู้อำนวยการสนับสนุนเต็มที่ และยังโสดกันทั้งทีม จึงมีเวลาว่างมาก นอกจากจะเปิดทำฟันประชาชน 3 วัน และทั้งทีมออกหน่วยไปตาม รร. สัปดาห์ละ 2 วันแล้ว เกือบทุกวันเสาร์เราจึงนัดนักเรียนมาทำฟันด้วย(สมัยนั้นยังไม่มีการทำฟันนอกเวลาราชการ) หลายต่อหลายครั้งที่ชาวบ้านจะมีผลไม้หรืออาหารท้องถิ่นติดมือมาฝากที่ห้องฟัน ซึ่งได้แบ่งปันกันกับแผนกต่างๆในโรงพยาบาลอย่างเอื้ออาทร
ประสบการณ์ 3 ปีของการเป็นหมอฟันใน รพช. เป็นช่วงหนึ่งของชีวิต ที่เมื่อหวนคิดทุกครั้งก็ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆว่า ครั้งหนึ่งเราได้เคยใช้ชีวิตและใช้วิชาชีพ อย่างมีคุณค่า และสิ่งนี้ได้เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้มุ่งมั่นทำทุกภารกิจทั้งส่วนรวมและส่วนตัว ให้เกิดประโยชน์ต่อสรรพชีวิตรอบๆตัวเราให้มากที่สุด
หลายประสบการณ์ที่ผ่านมา ตอกย้ำให้ผมตระหนักว่า หากเรามุ่งมั่น ทำกิจทุกเรื่อง ด้วยใจสุจริต ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความรอบคอบ(ไม่ประมาท) ยึดหลักคุณธรรม โดยเฉพาะความเพียร ความอดทนและไม่โกรธ แม้มีอุปสรรค มีผู้ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดต่อเรา ในท้ายที่สุดทุกเรื่องราว จะผ่านไปได้ด้วยดี (เหมือนดังคำที่ท่านผู้รู้หลายท่านบอกว่าเป็น “ ธรรมะจัดสรร ”) แต่เราต้องสรุปบทเรียนจากทุกกิจที่ทำ และเรียนรู้ที่จะนำมาปรับใช้ เพื่อให้กิจการงานในอนาคตเป็นไปด้วยความราบรื่นยิ่งขึ้น (หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ให้กลับไปตรวจสอบว่า เราได้ทำตามตัวทึบที่ขีดเส้นใต้ ได้ครบและดีแล้วหรือยัง ทำซ้ำได้ไม่จำกัด)
ในเดือนสิงหาคม 2551 คุณพ่อของผมได้จากไปอย่างสงบโดยลูกๆ ทุกคนได้อยู่รายล้อมอย่างอบอุ่น และราวกับธรรมะจัดสรร ที่เมื่อต้นปี 2551 ผมได้รับหนังสือ “ ณ มรณา ” ที่เครือข่ายพุทธิกาจัดพิมพ์ขึ้นโดยรวบรวมจากข้อเขียนของ “ ดังตฤณ ” แจกเป็นธรรมบรรณาการ หนังสือนี้ ขึ้นปกหลังว่า (ขออนุญาตตัดบางส่วนของข้อความออก เพื่อความกระชับ)

“ รู้ไหมครับ ในวันพรุ่งนี้จะมีคนตายเพิ่มอีก 150,000 คน ...ความตายมาถึงแน่ และมัจจุราชคงไม่อาจเอาใจเลือกวันละแสนห้าหมื่นวิธีดีๆให้กับคนตายทุกคนไหว ประเด็นจึงไม่ใช่เลือกตายให้หรู แต่ควรเตรียมใจตายด้วยจิตที่เป็นกุศล เพื่อความอุ่นใจ เพื่อเป็นหลักประกันว่า หลังความตายอันไม่อาจพยากรณ์วิธีและวันเวลานั้น เราจะได้ไม่ต้องเป็นวิญญาณหวนมองย้อนกลับมาเสียดายศักยภาพ(และวันเวลา ในการ) สร้างบุญสร้างบารมีของมนุษย์ (ในช่วงที่ยังมีชีวิต)กัน ”
ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เกือบจะรวดเดียวจบ ซึ่งทำให้ความรู้และความรู้สึกเกี่ยวกับ “ความตาย” และ “ วันสุดท้ายของชีวิต ” เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เรียนรู้นี้ได้ช่วยให้การปฏิบัติต่อ คุณพ่อ ในช่วงวันท้ายๆ แห่งชีวิตของท่าน เป็นไปได้ด้วยความสงบ ไม่หวั่นไหว และเชื่อว่าได้ช่วยให้ท่านเดินทางต่อไปในเส้นทางของท่านอย่างสงบและสันติ
โดยที่หลักและแก่นของพุทธศาสนา คือเรื่องของ “ความจริง” (ฝรั่งใช้คำว่า principles) ที่พระพุทธเจ้าเพียงทรงแสดงให้มนุษย์ได้รู้(คือแสดงธรรม) และหากได้เพียรปฏิบัติให้สอดคล้องหลักของ “ความจริง” อยู่เสมอๆ มนุษย์จะดำรงชีวิตได้อย่างสงบสุข ไม่มีการเบียดเบียนทำร้ายกัน หากปฏิบัติได้ถึงขั้นสูงสุดจนบรรลุนิพพานก็หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ได้
“ ณ มรณา ” เล่มนี้ ช่วยชี้ให้เห็นว่า ทุกกรรมหรือการกระทำของเราตลอดช่วงชีวิต หากทำแต่เรื่องที่ดี สร้างความสุขให้กับคนอื่นๆ ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเราและผู้อื่น การกระทำเรื่องดีๆ เหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่เราสามารถระลึกถึงได้โดยง่ายตลอดเวลา นี้คือ “หลักประกัน” ที่ขึ้นปกหลังของ “ ณ มรณา ” ว่า จะช่วยให้เราเผชิญกับวันและนาทีสุดท้ายของชีวิต ที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมาถึงตอนไหน ได้อย่างอุ่นใจ มีสุขคติภพเป็นที่หมาย (เพราะจิตสำนึกในช่วงสุดท้ายของชีวิตจะเป็นตัวกำหนด “ภพ” ที่จะไปต่อหลังความตาย) ทุกวันนี้ ก่อนจะหลับ ผมจะพยายามฝึกคิดว่า เราได้ทำอะไรดีๆ บ้างในแต่ละวัน เพื่อเตรียมการให้พร้อมเสมอ สำหรับวาระสุดท้ายที่ไม่มีใครรู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่
และจุดนี้แหละครับ ที่นำมาถึงหัวเรื่องที่จั่วไว้ ในโอกาสที่น้องๆทันตแพทย์ใหม่ ลงไปทำงานในพื้นที่ต่างๆ วัยนี้ของน้องๆ เป็นวัยแห่งอุดมการณ์ และช่วงวัยที่ยังมีภาระไม่มากนี้ จะเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะได้ทำหน้าที่ตามวิชาชีพ (และวิชาชีวิต) เพื่อปัดเป่าความทุกข์และสร้างเสริมความสุข ให้กับพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน พี่เลี้ยงชาวทันตบุคลากรทั้งหลาย ในทุกพื้นที่ ที่น้องๆ ลงไปทำงาน ควรต้องทบทวนการทำงานและบทบาทพี่เลี้ยงของตนเองด้วยว่า ได้ทำหน้าที่ “ที่ดี” พอหรือยัง ทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อให้น้องใหม่เข้ามาร่วมทำงานได้อย่างอบอุ่น และมีจิตใจกว้างขวางที่จะชี้แนะแนวทางทำงานที่ถูกต้อง ที่เหมาะสม ที่พร้อมด้วยพรหมวิหารสี่ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตามลำดับ) หรือยัง
หากทั้งน้องใหม่และพี่เก่า ต่างมุ่งมั่นทำความดีร่วมกันเพื่อประโยชน์สุขของทุกๆคนแล้ว สิ่งนี้ ก็เหมือนกับการเตรียมการ “เพื่อความอุ่นใจ เพื่อเป็นหลักประกัน” ก่อนถึงวันสุดท้ายของชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงวันใด ด้วยความไม่ประมาท หากทำได้ดังนี้แล้ว ไม่ว่าขณะยังมีชีวิตหรือลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็ไม่มีเหตุให้ต้องกังวลถึงสิ่งที่ผู้คนจะคิดถึงเรา เพราะการกระทำของเราล้วนเป็นความดีและชอบแล้วทั้งสิ้น
...เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรี
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น