
โดย หมอปลิวจากชายแดนใต้
วิธีคิดแบบมาตรฐานของราชการไทยที่ฝังหัวผู้คนทุกชนชั้นมายาวนานมี 2 ประการคือ
1. ข้าราชการไทยทุกคนมีเงินเดือนเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหมอหรือพนักงานธุรการ หากซีเท่ากันแล้ว ย่อมจะได้เงินเดือนเท่ากัน ซึ่งก็นับว่ายุติธรรมแบบไม่ยุติธรรม กรณีนี้ถูกเพิ่งปรับเปลี่ยนวิธีคิดไปเล็กน้อยเมื่อเข้าสู่ระบบแท่งเงินเดือน แต่ก็เปลี่ยนไปไม่มากคือ จาก 1 แท่งของระบบซีเดิม มาเป็น 5 แท่งในระบบแท่งใหม่
2. ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การรับราชการถูกสอนให้มุ่งหวังความก้าวหน้า ซึ่งในภาพยนตร์จีนกำลังภายในจะเห็นชัดเจนมากว่า จากนายอำเภอเมืองเล็กที่ชายแดนเงินเดือนต่ำต้อย ค่อยๆเติบโตก้าวหน้าไปเรื่อยจนมาเป็นผู้ว่าเมืองใหญ่ และสุดท้ายก็มาเป็นขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงที่มียศถาบรรดาศักดิ์มากมาย ส่วนคนที่ถูกลงโทษเพราะทำผิดก็จะถูกส่งไปประจำเมืองชายแดน ซึ่งระบบวิธีคิดแบบศักดินาไดโนเสาร์เช่นนี้ยังคงอยู่ในสังคมไทยอย่างน่าเป็นห่วง ความก้าวหน้าของข้าราชการคือการย้ายเข้าเมืองใหญ่ ทำไมเราไม่คิดให้กลับกัน ส่งเสริมให้คนดีเติบโตได้ในชนบท เป็นต้นโพธิ์ต้นไทรต้นใหญ่ที่สร้างความร่มเย็นให้กับคนชนบทต่อไปนานๆ ยิ่งอยู่ชนบทนานยิ่งควรได้รับการดูแลจากผู้ใหญ่ในกระทรวงให้มาก ก้าวหน้ามากกว่าคนอยู่ในเมืองใหญ่
ด้วย 2 วิธีคิดนี้ ปรากฏการณ์การเรียกร้องเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้กับแพทย์ที่อยู่ในชนบทว่าต้องได้รับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ยิ่งอยู่นานยิ่งได้มากนั้น เป็นการนำเสนอวิธีคิดใหม่ให้กับสังคม เป็นการสร้างคุณค่าให้สังคมไทยคิดใหม่ว่า การอยู่ในชนบทที่ขาดโอกาสมากกว่าอยู่ในเมืองนั้น ต้องได้รับแรงจูงใจในการอยู่ในชนบทมากกว่าอยู่ในเมือง จึงจะจูงใจให้วิชาชีพสุขภาพผันตัวเองเข้าสู่การทำงานในชนบทมากขึ้น
การแก้ปัญหาที่ยากเช่นการขาดแคลนวิชาชีพสุขภาพในชนบท ต้องยิงปืนใหญ่ไม่ใช่ยิงปืนลูกซองทีละนัด การเพิ่มค่าตอบแทนเพียงอย่างเช่นเบี้ยเลี้ยงพิเศษในพื้นที่ทุรกันดารในอดีตนั้น บางแห่งได้ 10,000 บาท บางแห่งที่กันดารกว่าได้ 20,000 บาทนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่า เพียงพอเฉพาะให้แพทย์ใช้ทุน ทันตแพทย์ใช้ทุนอยู่ใช้ทุนครบ 3 ปีเท่านั้น แต่ไม่เพียงพอที่จะจูงใจให้แพทย์ ทันตแพทย์ อยู่ทำงานในชนบทต่อไปหลังการใช้ทุน เม็ดเงินค่าตอบแทนที่สูงที่สะท้อนคุณค่าในการอยู่ในชนบทจึงเป็นเสมือนกระสุนปืนใหญ่ ที่น่าจะช่วยให้แพทย์ ทันตแพทย์ กลุ่มใหญ่ คิดใคร่ครวญกับอนาคตของตนเองมากขึ้น หลายคนก็ไม่ได้อยากจะเรียนเฉพาะทาง หลายคนก็ไม่ใช่อยากจะย้ายเข้าโรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลเอกชนเสมอไป เพียงแต่ในอดีตนั้น หนทางของการอยู่ต่อไปในโรงพยาบาลชุมชนนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่น่าจูงใจ นอกจากมีครอบครัวอยู่ที่นั่น หรือทำคลินิกได้เจริญรุ่งเรือง และอีกส่วนคืออยู่ด้วยอุดมการณ์และความผูกพันต่อชุมชน
เมื่อแพทย์ ทันตแพทย์ใช้ทุนส่วนใหญ่ไม่มีแรงผูกโยงทั้ง 3 เงื่อนไขนี้ การไปเรียนต่อและการย้ายเข้าเมืองจึงเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุด แต่ถ้าหากมีค่าตอบแทนของการอยู่ในชนบทที่สูงกว่าการเข้าเมืองอย่างชัดเจนแล้ว การทำงานในโรงพยาบาลก็มีความสุขกว่า ย่อมทำให้แพทย์ ทันตแพทย์ บางส่วนตัดสินใจอยู่ต่อในชนบท ผลประโยชน์สุดท้ายก็ย่อมจะตกอยู่กับประชาชนในชนบทผู้ด้อยโอกาสมายาวนานนั่นเอง
ส่วนประเด็นที่ว่า คนที่ไม่ทำงาน มีพฤติกรรมการทำงานเช้าชามเย็นชามแม้จะอยู่นานก็ได้เงินค่าตอบแทนมาก ซึ่งดูเสมือนไม่ยุติธรรมนั้น ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็นคนละประเด็นกัน อยู่นานต้องได้มากจึงจะจูงใจ ส่วนคนที่ไม่ทำงานแม้จะอยู่นานหรือไม่นานก็ควรมีระบบที่เข้ามากำกับตรวจสอบ แต่ไม่ใช่เอามาเป็นเหตุผลที่จะไม่เพิ่มค่าตอบแทนให้กับคนที่ทำงานดีไปด้วย ต้องอย่าใช้วิธีคิดแบบหัวใจมดที่คิดเล็กคิดน้อยจนงานใหญ่เสียการ
อย่างไรก็ตามเมื่อแพทย์ ทันตแพทย์ในโรงพยาบาลได้เงินค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายมากขนาดนี้แล้ว ก็อยากจะขอเชิญชวนให้ทุกคนช่วยกันทำงานให้เต็มกำลัง ปัจจุบันทันตแพทย์ที่ทำงานมาเกิน 8 ปี ได้ซี 7 เงินเดือน เงินไม่ทำเวชปฏิบัติ เงินค่าเวร เงินประจำตำแหน่ง บวกกับเงินเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย ก็ร่วม 80,000 บาท ดีกว่าอยู่เอกชนหรือเปิดคลินิกเพราะไม่มีต้นทุน หมอในชนบทมีคุณภาพชีวิตพอจะสู้กับหมอในเมืองใหญ่ได้ ชาวบ้านผู้เดิมด้อยโอกาสกว่าคนในเมืองก็ได้หมอที่แสนขยันมาดูแลสุขภาพช่องปากของเขา และไม่เปลี่ยนย้ายทุกปี เป็น win-win situation
การสาธารณสุขนั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี และไม่สามารถใช้เครื่องทดแทนเฉกเช่นธนาคารใช้เครื่อง ATM ได้ การเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้กับชาวสาธารณสุขที่ทำงานในชนบทให้มีรายได้ที่มากกว่าคนที่ทำงานในเมืองในโรงพยาบาลใหญ่ และที่สำคัญคือ เพิ่มขึ้นมากจนถึงระดับที่ทำให้เกิดสภาวะไร้ระเบียบ ประดุจการเพิ่มความร้อนจนน้ำที่เป็นของเหลวให้เปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซได้ เชื่อได้ว่า อีก 5-10 ปี อานิสงส์ของการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายครั้งนี้จะทำให้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในชนบทโดยเฉพาะแพทย์และทันตแพทย์ที่เรื้อรังมายาวนานนั้น มีสถานการณ์ความขาดแคลนลดลงอย่างชัดเจน คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพคนชนบทเพิ่มขึ้น และความแออัดของโรงพยาบาลจังหวัดก็น่าจะลดลงไปด้วยไม่มากก็น้อย
หากมองในมิติประวัติศาสตร์การสาธารณสุขไทย เมื่อแรกสร้างโรงพยาบาลชุมชนแล้วขาดแคลนบุคลากร ก็นำมาสู่การบังคับแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรใช้ทุน ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้ผล ประดุจการสามารถก้าวผ่านภูเขาลูกแรกได้ จำนวนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรในชนบทเพิ่มขึ้นมาช้าๆ เหตุการณ์ผ่านไป 37 ปีของการบังคับให้แพทย์ใช้ทุน 20 ปีของทันตแพทย์ใช้ทุน จำนวนในระยะหลังเริ่มเพิ่มขึ้นช้ามาก การเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในปี 2552 นี้ จึงเป็นเสมือนการรุกทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ที่รอคอยกันมาหลายสิบปี เป็นเสมือนการปีนผ่านข้ามเขาสูงมาได้อีกลูก และอีก 10 - 20 ปีก็คงมียุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อการก้าวข้ามภูเขาลูกที่ 3 ต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น