
พรบ.ข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่ ปี 2551 ที่มีชื่อเล่นว่า ระบบแท่ง นั้น มันจะพลิกวิถีชีวิตข้าราชการหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นมุมมองของผมนะครับ
หลักการพื้นฐานใน พรบ. ฉบับนี้ เน้น หลักคุณธรรม หลักความรู้ความสามารถ หลักผลงาน โดยดูจากผลปฏิบัติงาน และ หลักความสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิตและการทำงาน มีพื้นฐานทางแนวคิดและทฤษฎีมาจาก ระบบบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี วิสัยทัศน์ประเทศไทย ปี 2020 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะให้ทรัพยากรบุคคลภาครัฐเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสูง สามารถขับเคลื่อนองค์การให้องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง ภายใต้การมีระบบบริหารผลการปฏิบัติราชการเพื่อใช้ทั้งรายบุคคล และ องค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเน้นการบริหาร และ พัฒนาทรัพยากรบุคคลแนวใหม่ จะมีการกำหนดระดับผลสัมฤทธิ์ของงาน ระดับความรู้ ระดับทักษะ ระดับสมรรถนะ ระดับค่างาน ระดับผลงานทางวิชาการ และ ระดับผลงานที่โดดเด่น ให้สัมพันธ์และสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติราชการรายบุคคล ทั้งการเลื่อนเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง
อ่านแล้วดูเหนื่อยไหมครับ ในภาพรวมแล้ว ผมแอบคิดว่า มันดีจริง ๆ สำหรับคนเก่ง คนขยันทำงาน แต่ถ้าคนประเภทเลียแข้งหัวหน้า เลียขาเจ้านาย ละก็.....เตรียมตัวได้
ระเบียบใหม่นี้จะไม่มีการคิดเป็นขั้นเงินเดือนและจัดสรรตามโควต้า แต่จะคิดเป็นร้อยละตามผลงาน เกริ่นคร่าวๆ ในแวดวงของพวกเรา จะมีหลักๆ อยู่ 2 แท่ง กลุ่มเจ้าพนักงานทันต-สาธารณสุข ที่ประกอบด้วย เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข และ ผู้ช่วยทันตแพทย์ หลายคนสงสัยว่า ทำไมมาอยู่ตำแหน่งเดียวกันแล้วล่ะ งานต่างกัน เอาง่ายๆ คือ job spec ของงานเป็นงานทันตฯ แต่เวลาแต่ละคนต้องเขียน job งานก็ของใครของมันแหละครับ ไม่มาทับกันหรอก มันมีรูปแบบการเขียนของมันอยู่
สองกลุ่มนี้จะอยู่ในแท่งโอ หรือ แท่งทั่วไป มีอยู่ โอ1 ปฏิบัติงาน (ซี 1-4 เดิม) กับ โอ 2 ชำนาญงาน (ซี 5-6 เดิม) อีกแท่ง คือ แท่ง K วิชาการ ก็เป็นกลุ่มทันตแพทย์ และ นักวิชาการสาธารณสุข ในส่วนของทันตาภิบาลที่จบปริญญาตรีด้านสาธารณสุข ทางกระทรวงก็กำลังหาทางปรับให้มาอยู่ในแท่งวิชาการ ซึ่งสามารถทำง่ายกว่าแต่ก่อน เนื่องจาก ทาง กพ. ให้อำนาจ อกพ. กระทรวง พิจารณาได้เองเลย ซึ่งเมื่อก่อนจะทำอะไรต้องผ่าน กพ. ก็เป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งทีเดียว บางคนหรือหลายคนไม่เข้าใจว่าถูกทันตแพทย์กีดกัน ไม่ให้ก้าวหน้า ซึ่งสามารถมาหาอ่านเรื่องประเภทนี้ได้ในเวปทันตภูธร หรือ หมออนามัยได้ กระทู้ประเภทนี้หลัง ๆ ผมก็ขี้เกียจเข้าไปอ่าน เพราะบางทีใช้อารมณ์ในการเขียน บางคนก็เขียนเอามันเข้าว่า แต่ไม่มีข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังที่เป็นข้อเท็จจริงมาถกกัน
ต้องบอกให้ทราบก่อนนะครับ ว่าฐานอาชีพในกระทรวงสาธารณสุขมาจากฐานที่ต่างกันมาก กลุ่ม แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร นี่มีจากทุนรัฐบาล ต้องมีสัญญาใช้ทุนกับรัฐบาล สามารถเลือกจะไปอยู่กระทรวงก็ได้ กลุ่มอื่น ๆ ที่ผ่านการศึกษาจาก สถาบันพระบรมราชชนก นี่เป็นทุนของกระทรวงสาธารณสุข ก็ต้องทำงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขเท่านั้นแต่ขาดการวางแผนที่ดี เอาแต่ผลิต ไม่ได้วางกรอบความก้าวหน้าให้ เห็นง่าย ๆ ก็ของทันตาภิบาลแหละครับ มันเลยเรื้อรังมาจนทุกวันนี้ ถ้าวางหลักสูตรให้เป็นปริญญาตรี หรือ ต่อเนื่องเป็นปริญญาตรีตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้ อะไรที่ดี ๆ เมืองนอก มักจะมาตายเมืองไทยอยู่เสมอ
อีกไม่นานข้าราชการไทยคงจะต้องรู้จักคำว่านี้ เพราะ มันจะต้องแวะเข้ามาข้องเกี่ยวกับชีวิตเราเป็นอย่างมาก คำว่า SWOT ,Tows analysis ,Vision ,Mission ,Roadmap ,KRA ,Individual scorecard และที่สำคัญ คือ KPI หรือ ตัวชี้วัด เราจะพ้นภัยจากมันได้ คงจะต้องชิงไล่ล่ามันก่อน ก่อนที่มันจะมาไล่ล่าตัวเรา ใครคิดว่าดูแล้วท่าทางจะไม่ไหว แนะนำ early retire หรือ ลาออกไปขายก๋วยเตี๋ยวคง work กว่าครับ ใครที่คิดว่าอยู่ตำแหน่งสูง ๆ จะสบาย ผมบอกได้เลยว่า คิดผิด พอมาทำความเข้าใจจริงๆ ถ้าอยากอยู่แบบสบาย ๆ พอเพียงๆ ก็ไม่ต้องไขว่คว้าล่ะครับ
ดูแล้วเหนื่อย แต่ถ้าอยากได้ตังค์เยอะก็ต้องเหนื่อยอย่างหนัก แต่ก็คุ้ม ผมยังคิดว่า ผมอยู่ชำนาญการก็เอาละว่ะ เพราะ ชำนาญการพิเศษ ค่างานสูงมาก ยิ่งเชี่ยวชาญค่างานสูงขึ้นไปอีก แต่โดยรวม ๆ เหนื่อยขึ้นทุกคน คงเช้าชาม สายชาม เที่ยงชาม บ่ายชาม เย็นหลายขวด ก็คงไม่ได้แล้ว ทุกงานของเราจะถูกกำหนดโดยตัวชี้วัด ทำงานออกมาได้ค่างาน รวมเป็นคะแนนออกมา ก็ลุ้นกันว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าคิดว่าเจ้านายจะช่วยได้ ฟังๆ มาก็ยากอยู่ ถ้าทำงานไม่ดี ไม่บรรลุตัวชี้วัด เจ้านายก็ไม่บรรลุตัวชี้วัดตาม เพราะ ไม่สามารถดูแลการทำงานของลูกน้องทำงานได้ตามตัวชี้วัด ก็โดนกันเป็นร่างแหเป็นทอด ๆ ไป เหมือนกับระบบขายตรง ถ้าลูกข่ายขายได้น้อย หัวหน้าข่ายก็ได้ค่าคอมน้อยตามนั้น ถ้าลูกข่ายขายดี ก็รับทรัพย์กันทั้งยวง ก่อนทำงานก็ต้องเซ็นรับทราบงานที่ต้องทำ เหมือน เค้าจ้างเราทำงาน ทำงานดีก็ผ่าน ทำไม่ดีก็ตก แค่นั้น
พอเห็นภาพไหมครับ ไม่มีใครช่วยใครได้ นอกจากตัวคุณเอง ใครอยู่แท่งทั่วไป หรือ แท่ง o อยากขึ้นวิชาการ ก็ขึ้นได้ครับ เช่น ทันตาภิบาลอยากขึ้นแท่ง k วิชาการ ก็ขึ้นได้ครับ ก็ต้องเอาวุฒิปริญญาตรีด้านสาธารณสุข ไปสอบของ กพ. เอาผลการสอบไปขอปรับเป็น นักวิชาการสาธารณสุข หลักเกณฑ์หลาย ๆ อย่างแนะนำให้ไปดูหนังสือเวียนของ กพ.ครับ ที่โรงพยาบาลของท่านทั้งหลายมีแน่ เพราะ ทุกโรงพยาบาลก็ไปฟัง อ. ปัทมา บรรยายมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่าคุณจะไปค้นหาเองหรือไม่เท่านั้น
ผม confirm ว่ามีแน่นอน เพราะ โรงพยาบาลบ้านนอกอย่างผมยังมีเลย แต่ส่วนมากคนไทยนะครับ ชอบของแบบ instant เหมือนกาแฟ 3 in 1 น่ะ อยากกินอร่อยแต่ไม่อยากทำเอง ชอบแบบพร้อมปรุงง่ายดี แต่ให้น้ำตาล กาแฟ ครีม มา ก็จะถามหาแบบ 3 in 1 เป็นซะงั้นไป แนะนำถ้าอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ เปิดเวป กพ. (www.ocsc.go.th) อ่านมากรู้มากย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นครับ หรืออ่านเอาไว้ให้เตรียมใจรับมัน ……..ฮา
พูดถึงเรื่อง KPI (Key performance indicator) หรือ ตัวชี้วัด มีไว้เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยจะกำหนดตัวชี้วัด จากนั้นกำหนดค่าเป้าหมายเพื่อเป็นเกณฑ์วัดผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยผู้บังคับบัญชา กับ ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดร่วมกัน มีคะแนน ตั้งแต่ 1 ถึง 5 คะแนน 1 ก็ต่ำสุด ใครเลือกเอาคะแนนนี้ ผมให้นิยามกลุ่มนี้ว่า “ ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามและใหญ่ ” ยังไงก็ผ่านแต่คะแนนจะได้น้อย ถ้าเปรี้ยวเลือกคะแนน 5 เลย หมายถึง ค่าเป้าหมายในระดับท้าทายมีความยากค่อนข้างมากโอกาสสำเร็จน้อยกว่า 50% นี้เหมาะสำหรับพวกที่ชอบมองเครื่องบิน “ รู้ว่าเสี่ยงแต่มันต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อยแต่อยากได้ของที่อยู่สูง ” ถ้าทำงานแล้วสำเร็จคะแนนก็มาแรงแซงโค้ง ทิ้งเพื่อนร่วมงานมาเห็นฝุ่นเลยทีเดียว แต่ ถ้าไม่สำเร็จ ก็อาจถูกเพื่อนร่วมงานทิ้งเห็นหลังลับ ๆ ก็ได้ ถ้าเอาพอดีๆ ก็เลือกเอาที่ 3 ประมาณนี้ พอนึกภาพออกไหมครับ แต่ถ้าเลือก 1 แล้วประเมินมาเป็น 0 ก็ถึงเวลาล่ำลากันสักที
ผมแอบเข้าใจเอาเองว่า กพ.คงคิดว่า เอาคนอายุราชการมาก ที่เงินเดือนเยอะ ๆ ที่ทำงานไม่ดี หรือ ไม่ค่อยทำงาน ออกไป แล้ว จ้างเด็กใหม่ไฟแรงมาทำงานในเงินเดือนต่ำ คงคุ้มค่ากว่าด้วยแหละ พวกที่ตำแหน่งสูง ๆ ค่างานเลยต้องสูงตามไปด้วย เช่นเดียวกันกับการประเมินสมรรถนะ คะแนนก็ออกมาในรูปแบบเดียวกัน ยกตัวอย่าง การประเมินสมรรถนะ มาตรวัดแบบที่ 3 การวัดโดยพิจารณาสมรรถนะของผู้ถูกประเมิน เทียบกับความเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น คะแนน 1 ถึง 5 คะแนนออกมา 1 นี่จำเป็นต้องพัฒนาอย่างยิ่ง ประเมิน 3 รอบนี่ยัง 1 ก็อำลาอาลัยได้เลย แต่ถ้าได้คะแนน 5 นี่ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น อันนี้การต่อรองขอโน้นขอนี่กับเจ้านายคงง่ายมาก เพียงแค่เอ่ยปาก เจ้านายก็คงยอมทุกอย่าง เพราะ ไม่อยากเสียคุณไป คนประเภทนี้ใครมีไว้กับตัว เก็บไว้ดี ๆ นะครับ
จากนี้ไปการเก็บข้อมูลการทำงานของเราจะเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ใครไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ก็ต้องเก็บเอาไว้ ถ่ายรูปเอาไว้ สมุดความดีความเลว ก็จด ๆ เอาไว้นะครับ เพราะพวกนี้จะเป็นสิ่งที่เอามาเป็นหลักฐานประกอบหลาย ๆ อย่าง ผมอ่าน ๆ ที่ผมนั่งเขียนมานี้ ยังเหนื่อยเลย กำลังหาลู่ทางเปิด Pub เป็นธุรกิจในอนาคตอยู่เผื่ออนาคตต้องตกงาน 5555 บทความฉบับนี้อ่านไปอ่านมาคงงง เพราะคนเขียนเองกลับไปอ่านก็ยังงง เป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะครับ เตรียมตัวให้พร้อมเข้าสู่ระบบใหม่ด้วยกัน เพื่ออนาคตประเทศไทย สุดท้ายนี้ผมมีรูประบบแท่งมาฝาก เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน และเป็นแท่งที่สุดท้ายทุกท่านอาจต้องใช้มันเมื่อถึงเวลาครับ

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น