วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แคะจิว

บทความจากแผนงานพัฒนาเครือข่ายทันตบุคลากรไทยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ

โดย ทันตาภิบาล ดาเรศ สินสกุลวิวัฒน์
รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน

“คุ้นหมอ ถ้าไม่ได้คุ้นหมอช่วยเราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” เสียงพูดภาษาไทยสำเนียงชาวเขาที่คุ้นหูของ แคะจิว แซ่จ๋าว ดังแว่วอยู่ในห้วงความคิด

ชาวเขาเป็นประชากรส่วนหนึ่งของอำเภอที่โรงพยาบาลของฉันตั้งอยู่ โรงพยาบาลสมเด็จพระ-ยุพราชปัว ซึ่งห่างจากตัวเมืองน่านราว 60 กิโลเมตร ภาพหญิงชราชาวเย้าหรือที่เรียกตนเองว่า “เมี่ยน” ผอมเกร็ง ไว้ผมยาวเกล้ามวยลวกๆที่มีสภาพเหมือนไม่เคยแกะออกมาสระนับแรมปี เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม แถมยังมีกลิ่นสาบที่ชวนให้คนไข้หน้าห้องฟันคนอื่นถอยห่าง
แคะจิวถือถุงใบเก่าๆ ค่อยๆ แกะเอากระเป๋าผ้าปัก 2 – 3 ใบออกมา เป็นกระเป๋าผ้าครอสติชสีดำปักลายดอกไม้ซึ่งเป็นลายทั่วๆไปของผ้าปักชาวเขา

“เอามาขายเหรอ” ฉันถาม แล้วก็กุลีกุจอช่วยเธอขายให้คนในฝ่ายและห้องยาที่อยู่ติดๆกันให้ช่วยซื้อ
หลายคนมาดูๆ แต่ไม่เอา ในที่สุดฉันก็ซื้อไว้ 2 ใบใบหนึ่งเอาไว้ใช้ อีกใบกะเอาไว้ขาย ยังไม่รู้จะขายใครแต่เมื่อเห็นแววตาแห้งแล้งน่าสงสารจึงต้องเอาไว้ก่อน เธอเอามือเหี่ยวๆมาจับไม้จับมือฉันอย่างยินดีพร้อมกับขอบคุณแล้วขอบคุณอีก

แทบทุกเดือนเธอจะมาหาหมอ โรคมะเร็งปากมดลูกทำให้เธอดูแก่เกินวัย หญิงชาวเขาทั่วๆไปมักต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่แคะจิวจะดูโทรมยิ่งกว่าที่ควรเป็น บ่อยครั้งที่ถูกคนในห้องล้อว่า พี่สาวมาหาแน่ะ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่แคะจิวอยู่ตำบลป่ากลาง ตำบลในความรับผิดชอบส่วนหนึ่งของฉัน แรกๆ ฉันก็โกรธนะแต่หลังๆ ก็เริ่มชิน เวลาเธอมาหาหมอก็แวะมาหาฉันเป็นครั้งคราว เอาผ้าปัก เอาเสื้อปักมาขาย ฉันก็ช่วยซื้อบ้าง ช่วยโฆษณาบ้าง ถ้ารอบไหนไม่มีใครซื้อจริงฉันก็เอาเงินเล็กน้อยแบ่งให้แคะจิวไปโดยไม่ซื้อ เพราะไม่รู้จะสะสมไปทำไม เงินที่ได้ก็ไม่ได้ให้มากมายอะไร แค่พอยังชีพไปได้สักพักแค่นั้น ข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างฉัน บางทีก็ปรารถนาจะให้ตัวเองมีเงินไว้ช่วยเหลือคนอื่นได้มากกว่านี้เหมือนกัน

ครั้งหนึ่งเธอมาหาพร้อมกับแหวนเงิน
“เอามาให้คุ้นหมอ ไม่เอาตังค์” แคะจิวบอก
ฉันรู้สึกปลื้มใจ ขอบอกขอบใจแล้วก็รับแหวนมาสวม “พอดีนิ้วเลย”
แคะจิวยิ้มพร้อมกับพูดคำเดิมๆที่ทำให้ใจฉันพองโต “ถ้าไม่ได้คุ้นหมอช่วยเราก็คงแย่แล้ว”
แล้วเธอก็ขอตัวไปตรวจโรค ฉันนั่งหมุนแหวนดูพักหนึ่งแล้วนึกขึ้นได้ว่า อย่างน้อยแหวนก็มีต้นทุน จึงรีบเดินไปค้นหาเงินในกระเป๋า แล้วรีบเดินตามไปเอามันซุกใส่มือเธอพร้อมกับบอกว่า “เอาไว้ซื้อข้าวกินนะ”
ทีแรกเธอจะไม่เอาแต่เมื่อฉันบอกว่าหลาน 2 คนของแคะจิวอาจจำเป็นต้องใช้ เธอจึงยอมรับเงิน

ฉันอดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนเราช่างทำได้นะ เอาลูกมาให้แม่แก่ๆ ที่ป่วยจนแทบเดินไม่ไหวเลี้ยง แถมเงินก็ไม่ส่งมาให้ สภาพชีวิตชนบทที่นี่มักเป็นอย่างนี้ พากันทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือนไปหาเงินต่างถิ่น แออัดกันในเมืองหลวง ลูกน้อยเกิดมาก็เอามาให้แม่ของตนเลี้ยงทันที เงินทองที่หาเลี้ยงตัวเองพอมั่ง ไม่พอมั่ง จึงลืมส่งมาให้แม่ คนเก่าเก่าที่หาเงินได้เล็กๆ น้อยๆ อาศัยเบี้ยยังชีพเลี้ยงตัวเอง ยังต้องมาเลี้ยงหลานอีก ภาพอย่างนี้มีเยอะเหลือเกินในชนบทบ้านฉัน ฉันไม่สามารถจะช่วยได้ทุกคนหรอก มีแต่รายแคะจิวนี่แหล่ะที่คงไม่รู้จะให้ใครช่วยแล้ว จึงวนเวียนมาหา มาทำฟันบ้าง เอาผลไม้ในบ้านมาฝากบ้าง ฉันก็เอาเสื้อผ้าไม่ได้ใช้ให้ไป เอาขนมปังแบ่งจากลูกมาให้เธอไปเลี้ยงหลานบ้างตามโอกาส

เหยื่อของเศรษฐกิจยุคทุนนิยม มีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมือง กว่าจะกลับมาหา มาอยู่กับลูก ลูกก็โตจนไม่อยู่ในฐานะที่จะฝึกจะสอน แม้แต่จะบังคับให้อยู่ในโอวาทได้ จะหวังอะไรกับการให้คนแก่เลี้ยงเด็กที่โตมาพร้อมกับการขาดความรักความอบอุ่น เที่ยวตามหาความสุขจากวัตถุ ทำตามกระแสสังคมไปวันๆ ไปๆมาๆก็โตเกินตัว แต่งงานไว บางคนมีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจติดมา เอามาให้แม่เลี้ยงอีก วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ จะโทษใครในเมื่อแม่ก็เคยเป็นมาเช่นนั้น

หายไปนานหลายเดือน นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้แคะจิวไม่มา คงมีเงินใช้แล้วมั้งเลยไม่เอาอะไรมาขาย หรือว่าหลังๆเรายุ่งๆอยู่ไม่ได้ช่วยเอาของไปขายให้จึงไม่มา อดสงสัยไม่ไหว ถามชาวบ้านที่มาทำฟันดู
“แคะจิวตายแล้ว ตายไปเมื่อ 2 -3 เดือนก่อน”
เป็นคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านเดียวกัน อึ้งไปพักหนึ่ง ตายแล้วเหรอ ยังไม่ทันไร ไปไวขนาดนี้เลยเหรอ ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนนั้นน่าจะช่วยเธอให้มากกว่านี้นะ ฉันได้แต่คิด เวลาไม่หวนคืนจริงๆ

แคะจิวไปสบายแล้ว คิดได้อย่างนั้นหัวใจของฉัน ทันตาภิบาลตัวเล็กๆก็อิ่มใจ อย่างน้อยเราก็เคยได้ช่วยเหลือเค้าอย่างดีที่สุดในเวลานั้น ภาวนาในใจเกิดชาติหน้าขอให้สบายกว่านี้นะแคะจิว ฉันจะทำบุญไปให้

ทำความดี หากมัวแต่รอให้พร้อมคงไม่ได้ทำ ฉันได้ข้อสรุปกับตัวเองอย่างนี้ 

0 ความคิดเห็น: