วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คุยกับพี่เจน : โดย ทพญ.ศันสณี รัชชกูล

ดีใจจังได้กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ ฉบับนี้ความขยันกลับมาอีกแล้วค่ะ ก็เลยขอเล่าเรื่องที่ค้างไว้เมื่อสองฉบับที่แล้ว คือเรื่องเส้นทางของงานทันตแพทยศาสตร์ (Path of Dentistry) ที่พี่ไปนำเสนอที่อินโดนีเซีย ตามที่ได้สัญญาไว้นะคะ

ถ้าถามว่าทันแพทย์ศาสตร์พัฒนามาได้อย่างไร พวกเราคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าทันตแพทยศาสตร์เริ่มแรกพัฒนามาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่มีปัญหาความเจ็บปวดด้วยโรคในช่องปาก (คณะทันตแพทยศาสตร์ในประเทศไทยคณะแรกเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะผู้นำประเทศปวดฟัน) งานทางทันตแพทย์ก็เลยพัฒนาไปเพื่อตอบสนองต่อปัญหานั้นๆ ในกระทรวงสาธารณสุขเองงานทางทันตแพทยศาสตร์ ก็เริ่มด้วยงานบริการทันตกรรมในโรงพยาบาลเพื่อลดความเจ็บปวดจากโรคในช่องปาก แต่งานทันตกรรมมีราคาแพง และไม่สามารถลดอัตราการเกิดโรคในช่องปากได้

มีงานวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า “ …the utilization of dental services did not reduce the incidence of dental diseases.” (Moller 1978, Barmes 1978, Cohen 1978, WHO 1985) ต่อมาก็มีความพยายามที่จะเข้าไปให้บริการที่ครบถ้วนกับกลุ่มบางกลุ่มเช่นกลุ่มเด็กนักเรียน (บริการ ทันตกรรมเพิ่มทวีโดยทันตาภิบาล) เพื่อหวังผลว่าจะทำให้เด็กมีทันตสุขภาพที่ดีขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็พบอีกว่า “...even the best school-based dental care system, such as in Norway and New Zealand, were incapable of maintaining oral health into adulthood for the majority of people”. (International Collaborative Study, WHO/ USPHS .1985.)

การที่เราไปเน้นการให้บริการ ทันตกรรมนอกจากจะไม่ทำปัญหาโรคในช่องปากลดลงแล้ว ยังส่งให้เกิดผลที่ไม่ต้องการตามมาอีกกล่าวคือ การบูรณะฟัน ซึ่งเป็นวิธีที่ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเสื่อมอายุของทันตวัสดุเมื่ออยู่ในช่องปาก และวิธีการบูรณะฟันที่ล้าสมัยนี้ยังเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทุกปี เนื่องจากราคา ทันตวัสดุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าสินค้าอื่น ๆ และกลไกของตลาดก็ไม่สามารถทำให้ค่ารักษาต่ำลงได้ ซึ่งทำให้คนจนส่วนใหญ่ถูกกีดกันไม่ให้ได้รับบริการทันตกรรม เกิดความไม่เสมอภาค (ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการให้การรักษาฟรีก็ยังไม่สามารถจัดบริการทันตกรรมที่เป็นธรรมได้)

เราอาจเรียกระยะของการพัฒนานี้ว่า ระยะของ Clinical dentistry ต่อมาเมื่อการสาธารณสุขเจริญก้าวหน้าขึ้น ก็มีการคิดถึงเรื่องของทันตกรรมป้องกันจึงหันมาใช้วิธีการของทันตกรรมป้องกัน เช่นการใช้ฟลูออไรด์ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่น้ำยาบ้วนปากในระยะแรกๆ มาถึงฟลูออไรด์วานิชในระยะหลังๆ การใช้ pit and fissure sealant การให้ทันตสุขศึกษา ฯลฯ อีกหลายประการ การดำเนินการดังกล่าวมีปัญหาในเชิงบริหารจัดการอย่างมาก และไม่เกิดความยั่งยืนในชุมชน

กล่าวคือถ้ารัฐหยุดให้การสนับสนุน โครงการต่างๆที่มีอยู่ก็สิ้นสุดลง ชุมชนไม่มีการดำเนินการต่อ อาจเพราะไม่สามารถดำเนินการได้เอง หรือไม่อยากดำเนินการ ถ้าลองทบทวนกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีจุดเน้นอยู่ที่การป้องกันโรค (Disease prevention) เป็นสำคัญ เมื่อขอบเขตของงานถูกตีกรอบด้วยวิธีคิดเรื่องโรค การแก้ไขจึงมุ่งไปที่บุคลากรทางการแพทย์ เน้นที่สถาบัน ผู้เชี่ยวชาญหรือวิชาชีพเป็นหลัก การพัฒนาในระยะนี้พี่เรียกในสไลด์ที่นำเสนอว่า ระยะของ Preventive dentistry

พอพี่นำเสนอมาถึงตอนนี้พี่ก็ได้เสนอภาพต่อไปนี้ให้แก่ที่ประชุมว่าสิ่งในภาพเหล่านี้แหละคือสาเหตุของการเกิดโรคในช่องปาก ลองดูภาพดูนะคะ




พอให้ดูภาพเหล่านี้แล้ว พี่ก็เสริมข้อมูลไปบางอย่างเช่นว่า อุตสาหกรรมบุหรี่ของอินโดนีเซียมีแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้กี่สิบล้านคนถ้าคนอินโดนีเซียเลิกสูบบุหรี่ คนจะตกงานมากมายมหาสารเพียงใด บริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่เตรียมแผนการตลาดที่จะบุก อินโดนีเซียไว้อย่างแยบคายแค่ไหน ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายในอินโดนีเซียไว้กี่พันล้านดอลล่า แล้วก็ตามติดไปด้วย แผนภูมิต่อไปนี้


สรุปจากแผนภูมินี้ง่ายๆจะเห็นว่าปัญหา ทันตสุขภาพมีรากของปัญหามาจากสภาพของสังคม และ พี่ก็ได้เสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาไว้ว่า ระยะต่อไปของการแก้ไขปัญหาทันตสุขภาพเราต้องแก้ไขด้วย ‘Social dentistry’ Social dentistry จะดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน ติดตามครั้งหน้านะค่ะ เขียนยาวไป บ.ก.หมออ๋อจะค้อนพี่ได้ มาอ่านย้อนๆดู รู้สึกว่าบทความนี้จะเป็นวิชาการไปนิด และภาพประกอบออกจะต่างชาติไปหน่อย ต้องขออภัยด้วย แต่ไม่มีอะไรยากใช่ไหมคะ 

0 ความคิดเห็น: