วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เมืองไทย ในมือเรา ตอนที่ 1 – วิกฤตการณ์


เรื่องโดย ศยาม

“ เมื่อครั้งกรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะอันแวดล้อมด้วยแม่น้ำสามสาย คือ เจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี ถูกข้าศึกล้อมเมือง ในพุทธศตวรรษ 22 ครั้งแล้วครั้งเล่านั้น ผู้ปกครองและประดานักรบที่ผนึกกำลังสติปัญญาและสรรพกำลังทั้งมวลส่วนใหญ่ต่างก็ยังสังกัดราชวงศ์สุพรรณบุรี ที่สืบทอดวงศ์สมบัติมาจาก เจ้าสุพรรณบุรีพระนามว่า ขุนหลวงพ่องั่ว มิใช่วงศ์พระร่วงที่มาจากสุโขทัยหรือลพบุรี (ซึ่งต้องสังเกตว่า องค์นเรศหรือนเรศวร นั้นท่านมีทั้งสองวงศ์ร่วมกัน คือสุพรรณบุรีและพระร่วง) ครั้นบ้านเมืองประสบวิกฤตการณ์ ขุนนางนักรบจะร่วมกับราชวงศ์ที่มีองค์กษัตริย์เป็นศูนย์กลาง แก้ไขปัญหานำพาต่อสู้อย่างเหนียวแน่น อย่างไรก็ดี ในหมู่ขุนนางก็มีคนเชื้อสายราชวงศ์เก่าๆที่ถูกยึดอำนาจ ล้มล้างปราบดาภิเษกไปร่วมอยู่ก็มาก เช่น ขุนพิเรนทรเทพหรือพระมหาธรรมราชา ซึ่งต่อมาคือเจ้าผู้ครองเมืองพิษณุโลก หัวเมืองเอกฝ่ายเหนือ และท่านก็คือเชื้อวงศ์พระร่วง หรือท้าวศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาธิราช ที่ยึดอำนาจการ ปกครองจากพระไชยราชา ก็เป็นราชวงศ์อื่น

การยึดอำนาจกันไปมาของเจ้านายต่างวงศ์ในเวลานั้น น่าจะมีผลทำให้การเมืองการปกครองของกรุงอโยธยาง่อนแง่นพอสมควร จนในที่สุดพระเจ้าบุเรงนองหรือบาเยงนอง กษัตริย์พม่าที่ยึดอำนาจจากวงศ์ของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ก็อาศัยขุนนางไทยระดับนายกรัฐมนตรี คือออกญาจักรี ทำหน้าที่ “ขายชาติ” ยึดอำนาจทางทหาร ปรับเปลี่ยนตำแหน่งทหารกุมกำลังของกรุงอโยธยา และเปิดประตูเมืองให้ต่างชาติคือ ทหารพม่า เข้ามายึดเมืองปล้นชาติได้อย่างง่ายดาย เหตุการณ์ดังกล่าวมานั้น คือวิกฤตการณ์ของแว่นแคว้นชาวสยาม ที่มีศูนย์กลางอำนาจคือ กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร แลทำให้เกิดวีรกรรมของเจ้านายและสามัญชนคนไพร่มากมาย เช่น วีรกรรมของพระศรีสุริโยทัย แม้กระทั่งวีรกรรมของชาวบ้านเมืองกาญจนบุรี และที่แน่นอนคือตำนานแห่งองค์พระนเรศวรมหาราช ซึ่งกำลังเป็นภาพยนตร์ในเวลานี้ ”

วิกฤตการณ์ทุกครั้งล้วนมีที่มาที่ไปเสมอ และจะมีตัวละครมากมายที่อยู่หน้าฉากและหลังฉาก ที่เป็นทั้งเจ้านาย ขุนศึก นักรบ ก็มีมาก และตัวละครสำคัญที่ถูกลืมเสมอคือ ชาวบ้าน อนึ่งนั้นนับแต่ชาวเสียมกุก หรือชาวสยาม รวมตัวกันก่อตั้งเผ่าพันธ์ เคลื่อนไหวไปมาในแถบที่ราบสูงอีสานและขยายตัวไปตามลุ่มน้ำสำคัญเช่น เจ้าพระยา ป่าสัก มักจะมีวิกฤตการณ์เกิดก่อเป็นระยะตลอดเวลานับพันปีของชนเผ่าเหล่านี้ การรบพุ่งในช่วงเวลาของวงศ์สุโขทัยนำมาซึ่งความเสื่อมลงแห่งอำนาจ จนพวกลพบุรีแข็งอำนาจขึ้นและร่วมกับพวกสุพรรณบุรี สร้างเมืองใหม่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ในปี พ.ศ.1893 ตั้งชื่อว่า กรุงอโยธยา อันหมายถึงเมืองพระรามหรือ เมืองที่ไม่พ่ายแพ้

อย่างไรก็ดีหากทบทวนดูประวัติศาสตร์กรุงอโยธยานี้ที่มีกษัตริย์ 34 พระองค์ ใน 6 ราชวงศ์นั้นกว่าครึ่งหนึ่ง ต้องช่วงชิงยึดอำนาจปราบดาภิเษก และมีเบื้องหลังแห่งโศกนาฏกรรมมากมายไม่จำเป็นต้องให้ ทัพพม่ากรีฑาเข้ามายึดครอง ภายในกรุงอโยธยาเวลา 417 ปี ก็วุ่นวาย ตึงเครียดมาเป็นระยะ มีเวลาสงบสันติและรุ่งเรืองไม่มากนัก ซึ่งต้องนับว่า เวลาแห่งราชวงศ์สุพรรณบุรี 160 ปีที่สถาปนาอำนาจได้นานที่สุด ทัพพม่าเป็นเพียงแต่ผู้มาสรุปความวุ่นวายทั้งหลายให้สงบและเข้ายึดครอง เป็นเวลา 2ครั้ง แล้วชาวสยามก็ฮึดสู้กู้ชาติกลับคืนมา ภายใต้การนำพาของผู้กล้าพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ พระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อสิ้นอโยธยา การปราบดาภิเษกยังคงดำเนินไป กรุงธนบุรีสถาปนาได้ 15 ปี ก็พังทลายลง ราชวงศ์จักรีเมื่อปี 2325 ได้สถาปนาราชวงศ์ใหม่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ 9 รัชกาล

แล้ววิกฤตการณ์ได้สิ้นสุดลงไปหรือไม่ กล่าวได้ว่าไม่มีเลย วิกฤตการณ์ในยุคสุดท้ายของรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวปรากฎขึ้น นำมาซึ่งการต่อสู้ทางอำนาจในขุนนางระดับสูง และจบลงด้วยการสถาปนาระบอบที่นักประวัติศาสตร์กล่าวว่ามีครั้งแรกคือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช อันไม่ปรากฎมาก่อนในระบอบการปกครองของกรุงอโยธยา แล้วยืนหยัดต่อเนื่องมาจนกระทั่ง พ.ศ.2475 เมื่อกลุ่มที่เรียกว่า คณะราษฎร อาศัยเงื่อนไขทางการเมือง และความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำการยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู้ระบอบทางการเมืองการปกครองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” นับแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมาจนบัดนี้ นับได้ 75 ปีแล้ว วิกฤตการณ์ทางการเมืองการปกครอง ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ อาจประมาณการณ์ได้ว่า 10 -15 ปี จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง จนนักวิชาการบางคนเรียกว่า วงจรอุบาทว์ หรือ วงจรการขึ้นสู่อำนาจ ของชนชั้นปกครองไทย


0 ความคิดเห็น: