วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รายทาง...แห่งความสุข



โดย หมอฟันไทด่าน


ช่วง 3 ปีแรกของการทำงาน ความที่เป็นทันตแพทย์คนเดียวของโรงพยาบาลและอำเภอ ผมเลยจัดตัวเองให้เป็นหมอ treatment อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมของห้องฟัน คิดเอาเองว่าแบบนี้น่าจะเป็นการบริหารจัดการตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนหน้าที่ออกหน่วยโรงเรียนประถมทั้ง 66 แห่ง แห่งละ 1 ครั้งต่อปีนั้น ยกให้เป็นของพี่ผู้ช่วยและพี่ทันตากับน้าคนขับรถของโรงพยาบาลอีก 1 คน

ไม่กี่ปีต่อมา พอมีน้องทันตแพทย์มาอยู่ด้วยอีกคน ตอนนั้นเราเลยคิดกันว่า ทันตแพทย์น่าจะถึงเวลาไปร่วมทีมออกหน่วยโรงเรียน คิดในแง่การรักษาอาจดูไม่คุ้ม เพราะออกไปทำแค่หัตถการง่ายๆ พวกขูดและถอน แต่ที่หวังกันคือจะไปช่วยปฏิสัมพันธ์พูดคุย เพิ่มความเกรงอกเกรงใจให้คุณครูและทีมโรงเรียน จัดกิจกรรมส่งเสริมทันตสุขภาพให้คึกคักเข้มข้น เผื่อจะส่งผลให้เราทำงานสบายขึ้นในภายภาคหน้า

และการได้ออกไปเห็นกับตา สัมผัสเป็นประสบการณ์ตรงคงได้ช่วยประเมินระบบต่างๆ ที่เราทำอยู่ หามุมมองเปิดมุมคิดใหม่ๆ ในการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนท่าของเราให้ดียิ่งขึ้น ส่วนเหตุผลอีกข้อเป็น hidden agenda คือการให้ออกพ้นไปจากห้องแคบๆสี่เหลี่ยม หลุดไปจากงานรักษาอันเคร่งเครียดและจำเจ ละสายตาจากช่องปากแคบๆ ไปสู่มุมกว้างของผืนดินและแผ่นฟ้า หาโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวัน เผื่อว่าจะผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แต่จะว่าไป “พักผ่อน” ก็คงไม่เชิง เพราะความเหนื่อย ความยุ่งยากมันก็มีอยู่ เพียงแต่คนละแบบ...เท่านั้น

พูดถึงเมืองเลยที่ผมอยู่ บางคนอาจไม่คุ้นว่าอยู่ภาคอีสาน เผลอคิดไปว่าอยู่ภาคเหนือ ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไร เพราะอาณาเขตของเมืองนี้ก็ติดต่อกับจังหวัดภาคเหนืออย่างพิษณุโลกและอุตรดิตถ์อยู่แล้ว ผมสรุปได้คร่าวๆ ว่าที่นี่มีภูมิประเทศแบบภาคเหนือ จากความสลับซับซ้อนของทิวภูสูงต่ำ แต่วัฒนธรรมอิงไปทางอีสาน มี “ฮีตสิบสองคลองสิบสี่” ไม่ต่างกัน แต่ก็มีลักษณะเฉพาะตนอยู่มาก อย่างภาษาไทเลยกับภาษาอีสานแบบทั่วไป...สำเนียงต่างกันโขอยู่นะครับ


อำเภอด่านซ้ายที่ผมอยู่ ในอำเภอเดียวนี่ละครับ ถ้าดูในแง่ภูมิประเทศ ก็มีความแตกต่างหลากหลายอยู่ในตัวเอง

สมัยที่ยังไม่ได้แบ่งโซนโรงเรียนกันรับผิดชอบ พี่ทันตาฯ จะเป็นคนจัดโปรแกรมให้ตามวันที่กำหนดไว้อยู่แล้วว่าหมอคนไหนได้ออกหน่วยวันไหนในแต่ละสัปดาห์ ด้วยไม่ได้สนใจไปดูโปรแกรมก่อน เช้ามาก็ลุ้นเอาละครับว่าจะได้ออกโซนไหน แล้วจะได้เจอ “วิว” อะไร

โรงเรียนโซนภูเขาบนทางโค้งคดเคี้ยว บางช่วงเลียบริมทางด้วยแก่งหินกับสายน้ำเชี่ยว มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงลิบ บางวันในหน้าฝนและหน้าหนาว หากโชคดีจะมีม่านหมอกสีขาวละมุนมาแถมให้ตื่นตาตื่นใจเล่น เลี้ยวขวาจากถนนหลัก ไต่ภูเพิ่มระดับความสูงขึ้นไปอีกนิด เหลียวหลังกลับมามองจะเห็นนาข้าวขั้นบันไดในที่แคบซอกเขา ต้นข้าวเป็นผืนแพรสีเขียวในหน้าฝนก่อนจะเปลี่ยนเป็นเหลืองละออนวลตาเมื่อลมหนาวมาเยือน

โรงเรียนโซนแม่น้ำ รายเรียงอยู่ริมถนนที่ทอดขนานโดยแม่น้ำหมันที่ไหลย้อนขึ้นทางเหนือ แทรกกลางด้วยนาข้าวผืนใหญ่ที่เปลี่ยนสีสันไปตามจังหวะฤดู โรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้ชิดติดผืนนาขนาดแค่ก้าวพ้นจากขอบซีเมนต์ของใต้ถุนอาคารเรียนโล่งก็เหยียบบนคันนาได้เลย บางวันขณะเด็กกำลังเรียนหนังสือและผมกำลังถอนฟัน ข้างๆ มีนาฏกรรมชีวิตเป็นคุณลุงคนหนึ่งคราดไถอยู่ใกล้ๆ ชนิดได้ยินเสียงพลิกของหน้าดินและได้กลิ่นหอมชื้น เส้นทางแถบนี้ คืนก่อนหน้า-หากฝนตก เรามักเห็นชาวบ้านมายกยอ ซ่อนและสุ่มหาปลาอยู่ข้างทาง

...หากอยากกินก็ไม่ยาก หลังจากกลับมาโรงพยาบาลแล้ว แค่ลงทุนเอ่ยปากกับน้องผู้ช่วยในฝ่ายฯ สักคนที่มีบ้านอยู่แถวนั้น รับรองได้กินลาบปลารสนัวอร่อย แถมด้วยยิ้มกว้างยินดีของทุกคนในครอบครัวที่หมอมาร่วมวงปั้นข้าวเหนียวเลยน้ำหมันไป หากเลี้ยวซ้ายขึ้นเขา จะเห็นธารน้ำเหืองที่กว้างกว่า มีแก่งหินสลับซับซ้อนกว่า หลังรับน้ำจากน้ำหมันแล้วไหลทอดตัวขึ้นเหนือต่อไปก่อนเชื่อมต่อกับสายน้ำใหญ่ของแม่น้ำโขง น้ำเหืองสายนี้แบ่งอาณาเขตพื้นที่น้องพี่ไทยลาวออกจากกัน บางโรงเรียนแถบนี้เลยมีวิวชายแดนให้ทอดสายตา เห็นคนฝั่งโน้นเลี้ยงวัว หาของป่าและทำไร่อยู่ไกลๆ หากครึ้มใจอยากข้ามฝั่งไปก็ไม่ยาก แค่หนึ่งชั่วอึดใจของเรือแจว อาจได้สาโทรสกลมกล่อมติดไม้ติดมือกลับมา


ความสุขมันง่ายดีไหมละครับ...แค่นั่งรถออกหน่วยเมื่อไรก็มีวิวสวยๆ สองข้างทางรอให้ชื่นใจตลอดทาง

ผมไม่คิดนะครับ ว่าแต่ละถิ่นแต่ละที่เรามีทรัพยากร “วิว” ที่แตกต่างเหลื่อมล้ำกันเกินไปนัก ป่าผืนเขียวในเขาสูงภาคเหนือ โรงเรียนเล็กๆ ริมทะเลที่ภาคตะวันออก ทิวเขาหินปูนและสวนยางเขียวครึ้มในภาคใต้ หรือแม้แต่ที่ราบโล่งเห็นผืนนาสุดลูกหูลูกตาในภาคกลาง จะว่าไปแล้ว คนทำงานบ้านนอกอย่างเราๆ ดูจะมีโอกาสแบบนี้มากกว่าอยู่ในเมืองใหญ่อยู่แล้ว

ไม่รู้จะโดนข้อหาเพ้อฝัน โรแมนติกเกินไปหรือเปล่านะครับ แต่ผมว่าความสุขง่ายๆ แบบนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม อาศัยแค่ “ใจ” และสายตาที่ละเอียด ก็จะพบเห็นความ “งาม” ได้โดยง่าย ทุกวันนี้ ในโลกอันยุ่งเหยิงและร้อนรุ่ม มาช่วยกันรักษาใจเราให้ “เย็น” และเป็นสุขกันเถิดครับ เราจะได้เป็นเครื่องส่งความสุขที่ดี เผื่อแผ่รัศมีแห่งความสุขไปยังคนไข้ เพื่อนร่วมงานและคนอื่นๆ รอบข้าง

หวังว่าผมจะไม่ได้หวังเกินไปนะครับ

The purpose of our lives isto be happy ดาไล ลามะ


0 ความคิดเห็น: