วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คุยกันฉันมิตร : แรงบันดาลใจและความเป็นมาของงานวิจัย


“ประสิทธิผลของการทาฟลูออไรด์วาร์นิชโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในการป้องกันโรคฟันผุในเด็กเล็ก” โดย ทันตแพทย์หญิง ขนิษฐา ดาโรจน์


ผู้เขียนเป็นศิษย์รุ่นแรก ของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีเพื่อนร่วมรุ่น 26 คน จบการศึกษาในปี 2529 เริ่มรับราชการครั้งแรกที่โรงพยาบาลตระการพืชผล อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วง 2-3 ปีแรกเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดในฐานะทันตแพทย์คนหนึ่ง ต่อมาเริ่มสังเกตเห็นปัญหาด้านทันตสุขภาพ ลักษณะการเกิดโรคฟันผุ โรคในช่องปากของประชาชนในท้องถิ่นมากขึ้น และจากการพิจารณาแนวทางการทำงาน การจัดทำแผนงานโครงการ การมีโครงการต่างๆจากส่วนกลางและการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง จึงค้นหาเป้าหมายในการทำงาน โดยอาศัยแนวทางในโครงการเฝ้าระวังทันตสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษา


ในช่วงปีพ.ศ.2532-2539 มีความสนใจทำงานในกลุ่มนักเรียนประถมศึกษา และได้ใช้ความพยายามอย่างมากมายในการควบคุมและป้องกันโรคฟันผุในกลุ่มนี้ ด้วยความหวังที่จะให้เด็กที่พ้นจากโรงเรียนประถมศึกษามีฟันผุน้อยที่สุดหรือไม่มีฟันผุเลย ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าวจึงได้พัฒนาโครงการเฝ้าระวังทันตสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษาเต็มรูปแบบ ซึ่งพัฒนาทั้งรูปแบบการทำงาน การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การจัดบริการรองรับการตรวจของครูตามระบบเฝ้าระวัง การจัดเก็บข้อมูล รูปแบบการตรวจและการประเมินผลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนช่วย ทำให้สามารถพัฒนางานและติดตามงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำงานดังกล่าวทำให้สามารถควบคุมโรคฟันผุในโรงเรียนประถมศึกษาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โรคฟันผุในโรงเรียนประถมลดลงและถูกกำจัดไปมาก นักเรียนประถมศึกษาที่ดูแลอยู่เป็นโรคฟันผุน้อยกว่า 20%


แต่จากข้อมูลพบว่าเด็กนักเรียนชั้นป. 1 ซึ่งมีอายุระหว่าง 6-7 ปี มีฟันแท้ผุไปก่อนแล้ว เกือบ20% ก่อนเข้าสู่ระบบเฝ้าระวังในโรงเรียนประถมศึกษา ทำให้รู้สึกว่าต้องเร่งหาทางป้องกันโรคฟันผุให้เร็วขึ้น จึงได้ไปศึกษากลุ่มนักเรียนอนุบาลและในศูนย์เด็กเล็กซึ่งเด็กจะมีอายุระหว่าง 3-5 ปี แต่พบว่ามีฟันผุไปแล้วถึง 90% ซึ่งเป็นการผุทั้งฟันน้ำนมและฟันแท้เพราะในเด็กอายุ 5 ปี บางคนมีฟันแท้งอกแล้ว ดังนั้นจึงต้องรีบป้องกันโรคฟันผุในเด็กที่เล็กไปกว่านั้นอีก ดีกว่าที่จะรอรับมือกับโรคฟันผุเมื่อเด็กอายุ 3 ขวบแล้ว เพราะการอุดฟันหรือการรักษารากฟันในเด็กอายุ 3-5 ขวบ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และประการสำคัญไม่คุ้มค่าเลยทั้งในแง่ผู้ให้การรักษาและผู้รับการรักษา สิ้นเปลืองทั้งงบประมาณ แรงงาน และความเครียด


จึงตัดสินใจอย่างจริงจังที่จะต่อสู้กับโรคฟันผุในเด็ก โดยหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ง่ายที่สุด ถูกที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด และประการสำคัญคือ ต้องปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็กๆหลังจากนั้นได้ศึกษาว่าเด็กเริ่มมีฟันผุตั้งแต่เมื่อใด ด้วยลักษณะอย่างไร และมีปัจจัยอะไรมาเกี่ยวข้องบ้าง และพบว่า ฟันผุได้ทันทีที่เริ่มงอกขึ้นมาในปากเด็กอายุ 6-7เดือน และมีเด็กถูกถอนฟันตั้งแต่อายุ 2 ปี ซึ่งมีสาเหตุเนื่องจากฟันผุถึง 73%


และจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องพบว่า แม่ที่มีฟันผุหรือมีเชื้อโรคในช่องปากสามารถถ่ายทอดเชื้อโรคไปสู่ลูกได้ทำให้ลูกมีโอกาสมีฟันผุมากขึ้น ดังนั้นการป้องกันโรคฟันผุในเด็กต้องทำต่อเนื่องมาอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การลดเชื้อโรคในช่องปากแม่ การลดเชื้อโรคในช่องปากลูก เช่น การใช้น้ำยา การทำความสะอาด การลดการบริโภคน้ำตาลเป็นต้น และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการเพิ่มความเข็งแรงให้กับเนื้อฟันลูก เช่น การได้รับฟลูออไรด์


ส่วนการจะเลือกใช้วิธีการใดขึ้นกับ ลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน และความคุ้มทุน จากการศึกษาพบว่า การป้องกันโรคฟันผุในเด็กโดยอาศัยความร่วมมือจากแม่แต่เพียงอย่างเดียวให้ผลน้อยมากและไม่ชัดเจน การใช้ฟลูออไรด์เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าสามารถป้องกันฟันผุได้ดีและมีความปลอดภัยสูง โดยฟลูออไรด์จะเพิ่มการกลับคืนแร่ธาตุเข้าไปในเนื้อฟันทำให้ฟันแข็งแรงขึ้นและลดโอกาสเกิดฟันผุ ถ้าฟันผุเล็กน้อยอาจหยุดการลุกลาม หรือกลับมาเป็นฟันที่ไม่ผุได้ ต่อมาได้ศึกษาเพิ่มเติมว่าฟลูออไรด์ชนิดใดเหมาะกับเด็กกลุ่มไหนอย่างไร และจะสามารถใช้ฟลูออไรด์ได้อย่างปลอดภัยเมื่ออายุเท่าใด และรูปแบบที่ใช้เป็นอย่างไรและพบว่าฟลูออไรด์วาร์นิชซึ่งมีคุณสมบัติเป็นยางเหนียวและค่อยๆปล่อยฟลูออไรด์ออกมาใน ช่องปากอย่างช้าๆ สามารถคงฟลูออไรด์ในเคลือบฟันได้นาน 6 เดือนในฟันแท้ และ 3 เดือนในฟันน้ำนม

มีวิธีการทาที่ง่าย ยึดติดอยู่ที่ผิวฟันได้ดีไม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนไข้มากนัก จึงเหมาะกับคนไข้ที่ให้ความร่วมมือน้อย เช่นเด็กเล็กหรือคนพิการ การทาไม่ทำให้เด็กเจ็บจึงยอมรับได้ง่ายและไม่กลัว มีความปลอดภัยสูง โอกาสที่จะกลืนลงไปมีน้อย การทาฟลูออไรด์วาร์นิชในเด็กเล็ก 1 ครั้งใช้ฟลูออไรด์วาร์นิชไม่เกิน 0.1 มล. (1หยด)มีฟลูออไรด์ไม่เกิน 0.002 มก. (ดูราแฟต 2.26%) ซึ่งขนาดยาเม็ดฟลูออไรด์ชนิดรับประทานสำหรับเด็กอายุ 6-36 เดือน คือ 0.25มก.ต่อวัน ปริมาณฟลูออไรด์ต่ำสุดที่จะทำให้เกิดพิษเฉียบพลันคือ 5 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. การเกิดฟันตกกระต้องรับประทานอย่างน้อยวันละ 0.02 ม.ก. ต่อน้ำหนักตัว 1 ก.ก. นานกว่า 2 ปี และพบว่าฟลูออไรด์ที่คงเหลือในน้ำลายจะถูกกำจัดจากกระแสเลือดภายใน 27 ชั่วโมงหลังการทา ดังนั้นการทาฟลูออไรด์วาร์นิชจึงมีความปลอดภัยสูงแม้นำมาใช้ในเด็กอายุ 9 เดือน ซึ่งมีน้ำหนักตัวประมาณ 9 ก.ก.

ผู้เขียนได้ทำการวิจัยโดยทดลองนำเอาฟลูออไรด์วาร์นิชมาใช้ในการป้องกันฟันผุในเด็กอายุ 9 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่มีฟันงอกแล้วประมาณ 2-4 ซี่และ ให้มีการทาซ้ำเมื่ออายุ12,15,18 เดือน เพื่อให้สอดคล้องไปกับการงอกของฟัน คุณสมบัติการคงอยู่ในเคลือบฟันของฟลูออไรด์ และระยะเวลาที่เด็กมารับวัคซีนด้วย เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับ การมารับวัคซีนของเด็กในสถานพยาบาลใกล้บ้านได้ ผลการวิจัยพบว่า เด็กอายุ 18 เดือนที่ไม่ได้รับการทา ฟลูออไรด์วาร์นิช หรือทาเพียงครั้งเดียวเมื่ออายุ 9 เดือน เป็นโรคฟันผุมากกว่ากลุ่มที่ทาซ้ำทุก 3 เดือน โดยทาเมื่ออายุ 9,12,15,18 เดือน อยู่ 1.6 เท่า

ฟลูออไรด์วาร์นิชเหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งแปรงฟันด้วยตัวเองไม่ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอายุน้อยกว่า 2 ปี แปรงฟันเองไม่ได้เลย จะหวังให้ผู้ปกครองแปรงฟันให้ก็ยาก ทำให้โอกาสที่ฟันจะถูกทำความสะอาดและได้รับฟลูออไรด์จากยาสีฟันก็น้อยลง เป็นช่วงที่เด็กดูแลฟันตัวเองได้น้อยมาก ฟันน้ำนมที่งอกใหม่มีโอกาสผุสูงกว่าช่วงอายุอื่นมาก จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการป้องกันก่อนฟันจะผุ ส่วนเด็กที่อายุมากกว่า 3 ปี แปรงฟันเองได้ดีขึ้นอาจเลือกใช้วิธีแปรงฟัน และทาฟลูออไรด์วาร์นิชในรายที่จำเป็นจะประหยัดมากกว่า


การใช้ฟลูออไรด์ชนิดเม็ดไม่เหมาะกับเด็กกลุ่มนี้เพราะการรับประทานในช่วงนี้ไม่ส่งผลต่อฟันน้ำนม และต้องรับประทานทุกวันติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี จึงไม่สะดวกในการควบคุมปริมาณการรับประทาน ซึ่งมักจะรับประทานไม่สม่ำเสมอ ไม่ต่อเนื่องจึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร และผลของฟลูออไรด์เกิดจากการสัมผัสกับผิวฟันโดยตรงมากกว่าการอยู่ในกระแสเลือดหรือการสร้างเนื้อฟัน



งานวิจัยครั้งนี้ดำเนินการเต็มพื้นที่ในอำเภอตระการพืชผล โดยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สถานีอนามัยที่ไม่ใช่ทันตบุคลากรเป็นผู้ทา เพื่อให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการในสถานีอนามัยทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะมีทันตบุคลากรประจำสถานีอนามัยหรือไม่ก็ตาม เป็นการลดต้นทุนในการบริการอีกทางหนึ่งด้วย และสามารถกระจายการบริการถึงสถานีอนามัยได้ ในการทำงานจริงได้ให้ความสำคัญถึงการป้องกันฟันผุตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ และติดตามจัดกิจกรรมที่เหมาะสมให้เด็กในช่วงอายุ 3-5 ปีด้วย


โดยมีจุดมุ่งหมายว่าจะลดอัตราการเกิดโรคฟันผุในเด็กอายุ 3 ปี ไม่ให้เกิน 30% เด็กอายุ 5 ปี ไม่ให้มีฟันผุ เกิน 50% และจะส่งเด็กๆเข้าสู่ระบบเฝ้าระวังในโรงเรียนประถมศึกษาด้วยอัตราการเป็นโรคฟันผุในฟันแท้ไม่เกิน 10%ในเด็กอายุ 6ปี


ที่กล่าวมานี้คือแรงบันดาลใจและที่มาในการทำงานวิจัยชิ้นนี้ และเป็นแนวทางในการทำงานป้องกันโรคฟันผุของผู้เขียนมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน





0 ความคิดเห็น: