วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ชีวิตหมอฟันใน 3 จังหวัดชายแดนใต้

โดยหมอปลิว จากแดนใต้ http://www.deepsouthwatch.org/



ชีวิตหมอฟันใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ( ตอนที่ 1 สถานการณ์ดีขึ้นจริงไหม )

นับจากวันที่ 4 มกราคม 2547 ซึ่งเป็นจุดเริ่มของความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดคดีบุกเข้าโจมตีปล้นปืนทหารกว่า 400 กระบอก จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลังจากนั้น “ ความไม่สงบ ” ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากการลอบยิง การโจมตี การวางระเบิด การวางเพลิงและการก่อกวนด้วยวิธีการต่างๆความรุนแรงดังกล่าวนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิต ความตายและการบาดเจ็บ ตามมาด้วยความแตกแยกหวาดระแวงของผู้คนในชุมชนเดียวกัน ไม่รู้ใครเป็นใคร ความมืดเข้าครอบงำ 4 จังหวัดชายแดนใต้ โดยไม่เห็นวี่แววของการคลี่คลายของสถานการณ์


เหตุการณ์วันนี้ ดีขึ้นหรือแย่ลง

จำนวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เก็บข้อมูลได้จากระบบการเฝ้าระวังการบาดเจ็บจากสถานการณ์ไฟใต้จากโรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดชายแดนใต้ ( VIS ) พบว่าจำนวนเหตุการณ์มีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน


จะเห็นได้ว่าสถานการณ์โดยภาพรวมยังไม่ดีขึ้น จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดเหตุความไม่สงบยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง และเป็นทิศทางขาขึ้นที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะลดลง

จากวลีแห่งปี 2547 ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ว่า “ โจรกระจอก ” ในวันนี้ถือเป็นบทสรุปที่ชัดเจนจากทั้งฝ่ายความมั่นคง รัฐบาล และนักวิชาการ ต่างมีข้อสรุปตรงกันแล้วว่า ปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีองค์ประกอบหลักมาจาก “ กลุ่มขบวนการ ” ที่มีวัตถุประสงค์และอุดมการณ์ที่ชัดเจนในการแบ่งแยกดินแดนเป็น รัฐปัตตานี และมีกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มที่ค้าของเถื่อนยาเสพติด หรือ อาชญากรรมเป็นองค์ประกอบรองลงมา


ในระยะครึ่งปีที่ผ่านมา รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ยุทธวิธีในการปฏิบัติการในลักษณะการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม และเชิญตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบถามข้อมูล โดยเรียกการปฏิบัติการในแต่ละครั้งว่า “ ยุทธการ...” นั่นหมายความว่าหากปฏิบัติการในตำบลใดก็จะใช้ชื่อตำบลนั้นต่อท้ายยุทธการเช่น “ ยุทธการปะแต ” เป็นต้น ฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาลได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้นั้นควบคุมได้และมีสภาพดีขึ้น แต่นั่นก็เป็นเพียงคำประกาศที่หวังผลจากจิตวิทยามวลชนที่ขัดแย้งกับข้อมูลความเป็นจริงและขัดแย้งกับความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าทุกหนแห่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอชายแดนของจังหวัดสงขลาจะมีสถานการณ์รุนแรงทุกพื้นที่ แต่ละพื้นที่มีลักษณะความรุนแรงที่มากน้อยแตกต่างกันไป.

ตามดูความรุนแรงรายอำเภอ
จากการเฝ้าระวังในระบบของโรงพยาบาลต่างๆในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาคือตั้งแต่มกราคม ถึง มิถุนายน 2550 สามารถแจกแจงจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตแยกตามอำเภอที่เกิดเหตุได้ดังแสดงในแผนภูมิข้างล่างนี้



จะเห็นได้ว่าศูนย์กลางความรุนแรงนั้นมีอำเภอเมือง จังหวัดยะลาเป็นศูนย์กลาง และขยายตัวออกไปตามแนวเทือกเขาสันกาลาคีรีคือ อำเภอบันนังสตา อำเภอยะหา อำเภอธารโต จังหวัดยะลา รวมถึงอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ซึ่งทั้ง 4 อำเภอนี้มีพื้นที่ติดต่อกันและเป็นแนวป่าเขาชายแดนไทยมาเลเซีย นอกจากนี้ความรุนแรงก็ขยายออกไปทางทิศใต้ของอำเภอเมืองยะลา โดยในส่วนที่ติดต่อกับจังหวัดนราธิวาส เช่น อำเภอรามัน จังหวัดยะลา อำเภอรือเสาะ อำเภอบาเจาะ อำเภอระแงะ อำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ส่วนอีกหนึ่งวงของความรุนแรงมีอำเภอเมืองปัตตานีเป็นศูนย์กลาง โดยมีเหตุรุนแรงหนาแน่นทั้งในเขตอำเภอเมืองและอำเภอรอบๆ เช่น หนองจิก ยะรัง ยะหริ่ง เลยไปจนถึงสายบุรีและโคกโพธิ์


กำลังใจยังพอไหว

เพื่อนๆทันตแพทย์ ทันตาภิบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ รวมทั้งลูกจ้างในฝ่ายทันตกรรมในพื้นที่เสี่ยงภัยนั้น ยังคงทำงานอย่างมุ่งมั่นในท่ามกลางความไม่สงบที่มากน้อยแล้วแต่พื้นที่ งานทันตกรรมโรงเรียนแทบไม่ได้ออก ใช้วิธีการรับเด็กนักเรียนมาทำฟันที่โรงเรียนแทน เป็นต้น ยังเป็นโชคดีของสังคมไทยที่ทันตบุคลากรในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ จึงยังอยู่ได้ ทั้งที่จำเป็นต้องอยู่หรืออยู่เพื่ออุดมการณ์และความเป็นห่วงประชาชนว่า “ หากฉันย้ายออกไปแล้วจะมีใครมาแทนไหม ”




สิ่งที่ทันตบุคลากรทั้งประเทศควรทำเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเหล่าทันตฯแนวหน้าเหล่านั้นทำได้ไม่ยากครับ เพียงแค่จดหมายสั้นๆถึงคนที่เราพอรู้จัก โปสการ์ดสำหรับคนทั้งฝ่ายทันตกรรม ขนม OTOP ประจำจังหวัดที่สุดแสนอร่อยส่งไปให้ชิม ส่งหนังสือดีๆไปให้อ่าน เอาแบบต่อเนื่องไม่ใช่ครั้งเดียวก็หายเข้ากลีบเมฆ เป็นสายธารน้ำใจที่ต่อเนื่องเพื่อสู้ศึกชายแดนใต้ที่ยืดเยื้อ หรือจะถึงขนาด เป็น “ทันตแพทย์ ทันตาภิบาลอาสา” ลงไปช่วยทำงานในพื้นที่ก็ยิ่งจะเป็นกำลังใจชั้นยอดครับ ชีวิตมีพลังเพราะกำลังใจ โดยเฉพาะจากคนไกลที่เราไม่เคยรู้จัก

0 ความคิดเห็น: