ที่จริงแล้วการที่คนเราคิดเห็นไม่เหมือนกันมันน่าจะดีซะอีก? มันน่าจะทำให้พวกเราช่วยกันหาคำตอบได้ว่าชีวิตคืออะไร มันน่าจะทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้นไม่ใช่หรือ ช่วยกันเห็นคนละมุมมองคนละส่วน เอามารวมๆกันจะได้ภาพรวม ต่อจิ๊กซอว์ให้ครบ ได้ภาพที่สมบูรณ์ขึ้น ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร คนเรามีกี่แบบ มีมุมมองโลกแบบไหนบ้าง แล้วถ้ามองแบบนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไร ถ้ามองแบบนี้ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร มองแบบโน้นหล่ะมีประโยชน์มีโทษอย่างไร
ถ้าต่างคนต่างคิด (ว่าเราถูก) ไม่มาคุยมาฟังแบบเปิดใจกันเลย เราจะได้ภาพรวมจากทุกมุมมองดังที่ว่าได้อย่างไร มีแต่แยกกันอยู่เป็นพวกๆ รู้แต่พวกตัวเอง ต่างก็คิดย้ำกันต่อไปว่าเราถูกที่สุด ไม่อยากยุ่งกับพวกอื่น สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการแยกพวกต่างๆจนเหลือแค่ 2 ขั้วเท่านั้น ถูกผิด ขาวดำ พวกฉัน กับ...พวกมัน เมื่อแบ่งให้เห็นเป็นฝ่ายฉันฝ่ายมันได้มากขึ้นเท่าไหร่ โลกก็ยิ่งแคบลงเท่านั้น คนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับเรา 100% แต่ก็ไม่ได้แย้งเราทั้งหมดก็ถูกเหมาว่า ไม่ใช่ "พวกเรา"
ว่ากันว่า "ถ้าไม่อยากทะเลาะกันอย่าคุยเรื่องการเมือง ศาสนา (และ ค้าตรง" ผู้เขียนก็เห็นจริงตามนั้น แต่ขอถามว่า แล้วมันต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปหรือ เรื่องศาสนาและการเมืองเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต แล้วทำไมเราถึงเลี่ยงที่จะคุยกันเรื่องนี้ สงสัยจริงๆว่าการคุยกันโดยไม่ทะเลาะกันมันยากมากเกินความสามารถพวกเราเลยหรืออย่างไร
ผู้เขียนคิดว่า เรื่องนี้จะยากไม่ยากมันอยู่ที่ปุ่มปี๊ดหรือปุ่มจี๊ด ของเรานั้นเอง ว่ามันโดนกระตุ้นได้ง่ายแค่ไหน ปฏิกิริยาของเรามักมีสามระดับ ระดับแรกคือเมื่อได้ยินเสียงคนที่พูดไม่เข้าหู เห็นการกระทำคนที่คิดไม่เหมือนเรา เราจะจี๊ดหรือปี๊ดก่อน (ง่ายๆเลยคือจี๊ดเพราะ"ไม่ชอบ") ระดับที่สองคือประมวลผลเทียบอดีตคาดอนาคต รวบรวมเหตุผลของตนเป็นมั่นเป็นเหมาะ ระดับสามคือการสวนกลับ พยายามพูดให้คู่สนทนาเข้าใจว่าเค้าคิดแบบนี้มันไม่ถูก พยายามอธิบายว่าทำไมความคิดเค้าถึงผิด บางคนปี๊ดแล้วสบถอยู่ในใจแต่ไม่พูดอะไรออกมา บางคนหน้าบึ้งไม่รู้ตัว แต่ก็มีบางคนปี๊ดแล้วเร็วมาก เลยระดับสามเลยคือ "งานนี้มีตืบ"
ถ้าเราลองมาถามตัวเองดูว่า เวลาเราเจอคนที่คิดไม่เหมือนเรานั้น เราได้เปิดใจมองคนคนนั้น หรือคนเหล่านั้นขนาดไหน เราพยายามที่จะเคารพในสิทธิที่เค้าเป็นแบบนั้นคิดอย่างนั้นได้ หรือว่า เรามองว่าเค้าเป็นภัยต่อเรา ลองพิจารณาต่อว่าเราแค่รู้สึก " ขัดใจ " " ไม่ชอบ " หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เรากลัวว่าคนอื่นจะเชื่อเค้ามากกว่าเรา กลัวว่าน้ำน้อยจะแพ้ไฟ กลัวอนาคตที่ไม่แน่ไม่นอน กลัวว่าอยู่ใกล้มากจะกลายเป็นคิดแบบเขา หรือกลัวคนเข้าใจผิด เรากลัวอะไรกันแน่ ทำไมเราถึงมีอารมณ์ขึ้นมา ลองพิจารณาดูให้สุดๆไปเลย ดูเป็นชั้นๆว่าลึกๆแล้วเรารู้สึกอะไรอยู่ ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น แค่นี้ก็น่าจะทำให้เราชะงัก หันมามองมุมใหม่คือมองเข้าหาจิตใจตัวเอง มันน่าจะทำให้ปุ่มจี๊ดมันด้านกดลงยากขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วค่ะ
กลับมาเรื่องการแบ่งขั้ว (polarization) ข้อนี้อันตรายมากๆ ในมุมมองที่มีแต่ผิดกับถูก ขาวกับดำ มิตรกับศัตรูนั้น คนที่เอาใจเข้าร่วมขั้วมักจะมีความต้องการลึกๆให้มีอะไรก็ได้มาทำให้ตัวเองเห็นว่าพวกมันผิด ยิ่งได้ฟังสิ่งที่อยากได้ยินก็ยิ่งมั่นใจว่าเราถูก สติเริ่มลด ไม่มองอย่างวิพากษ์อีกต่อไป ต่างคนต่างป้อนอาหารให้จิตอกุศลทำงาน ถึงจุดนึงก็จะทำอะไรที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมกันได้ง่ายๆ
จริงๆแล้วการที่คู่สนทนาเราพูดสิ่งที่เค้าคิดออกมานี่ถือว่าดีมากแล้ว ถึงเราจะไม่ชอบความคิดเค้าแต่ก็ดีว่าเค้าใส่หน้ากากทำอะไรใต้น้ำแบบที่เราอ่านไม่ออก! พูดออกมาเลยทำตัวให้เห็นชัดๆแหละดี เราต้องขอบคุณเค้าด้วยซ้ำค่ะ จะได้ไม่ต้องเดากันต่อไป
ทีนี้มาพูดกันเรื่องทางออกบ้าง แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้างทางออกคือ มองให้กว้าง ถอยหลังมาซักนิด หาข้อมูลให้ทั่ว มองให้เห็นเป็นหลายๆกลุ่มหรือเห็นเป็น spectrum แทนที่จะเป็นขั้ว
แล้วก็มองให้เห็นว่าเราก็คนที่เกิดมาร่วมทุกข์กันทั้งนั้น ศัตรูที่แท้จริงคือ โลภ โกรธ หลง แล้วเราจะไปเป็นเหยื่อมันทำไม สู้หน่ะต้องสู้แต่สู้ให้ถูกทาง สู้ไปโกรธไปจะไปดีได้อย่างไร มีเมตตา แก้ปัญหาอย่างมีสติ อย่าโกรธแล้วคิดหาทางออก เพราะมันมักจะไม่ใช่ทางที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช้ทางที่ฉลาดที่สุด
อยากแก้ปัญหาก็ต้องเห็นปัญหาให้เคลียร์ ศัตรูที่แท้จริงของเราคืออะไรกันแน่
ปัญหามันอาจไม่ได้แก้ได้เร็วทันใจ (คนก็เลยมักจะมองไปหาแต่ทางแก้ที่เห็นผลเร็วๆ) แต่สิ่งที่เราทำอยู่มันเป็นทางแก้ที่เกิดจากปัญญาจริงเหรอ เราต้องถามตัวเอง
วิธีนี้เราคิดเองได้ หรือว่าเราเองก็ตกเป็นทาสของกระแสที่ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกัน [ผู้เขียนคิดว่าปัญหาที่แท้จริงคือ "ตามกันไม่ทัน" ไม่ทันเกมด้วย ไม่ทันขันธ์ห้าตัวเองด้วย ทั้งนอกและใน]
ในการที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆนั้น มันมีจังหวะเวลาของมัน เราไม่ควรอยู่นิ่งเฉย แต่เราต้องลงมือกระทำการอย่างมีสติ ทำในสิ่งที่มีประโยชน์แล้วรอให้เหตุปัจจัยพร้อม (tipping point) มันก็จะเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยมันก็จะเริ่มมีโมเม็นตัม เรามีหน้าที่แค่พยายามทำสิ่งที่เราเชื่อว่ามีประโยชน์ ส่วนกรรม(เหตุปัจจัย)จะทำหน้าที่ให้เกิดผลเอง เหมือนกับที่การที่เราปลูกต้นไม้ เรามีหน้าที่ปลูก รดน้ำพรวนดิน แต่ต้นไม้จะโตสวยให้ผลให้ดอกหรือไม่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของเค้า ขึ้นอยู่กับลมฟ้าดินน้ำแมลง เราทำได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไปบังคับไม่ได้
ในการพยายามเปลี่ยนแปลงคน เราสามารถทำได้อย่างน้อย 3 วิธีใหญ่ๆ
1) ให้ข้อมูลโดยตรง คุยกันตัวตัว
2) ให้ข้อมูลทางอ้อมคุยกับคนอื่นที่จะมีผลต่อคนคนนั้น
3) สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ผู้เขียนพยายามท่องไว้เสมอว่าเรา "agree to disagree" ได้ แล้วมันต้องมีสักเรื่องแหละที่เราเห็นเหมือนกัน! เมื่อคิดได้แบบนี้เราก็จะปิดปุ่มปี๊ดฟังความเห็นของเขาได้ ถึงเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ อย่างน้อยสิ่งที่เราควรทำคือ แสดงความเห็นของเราอย่างไม่มี น้ำโห ให้เค้ารู้ว่าเราคิดอย่างไร ทำไปเรื่อยๆ ขนาดประเทศแอฟริกาใต้ที่เค้ารบกันมีสงครามกลางเมือง ฆ่าล้างเผ่าพันธ์กัน เค้ายังยอมมาคุยกันเลย เรามาช่วยกันสร้างพื้นที่การสื่อสาร สร้างสื่อทางเลือกหรือจัดทำตัวอย่างการทำธุรกิจแบบที่ทำให้คนหายจนได้ด้วยตัวเองและถูกหลักมนุษยธรรมควบคู่ไปด้วยดีกว่าไหม [ ใครทำอะไรไม่ดีไว้ จริงๆเราไม่ต้องทำอะไรกับเค้ามากนัก บางทีถ้าเราร้อนเองมันกลายเป็นเข้าทางเค้าไปซะอีก ต้องดูจังหวะให้ดี ]
ที่สำคัญ...เราน่าจะมาแลกเปลี่ยนกันว่าแต่ละคนมีเทคนิคอะไรในการคุยกับคนที่เห็นต่าง มีจังหวะการเสียบออกความคิดตัวเองอย่างไรให้เขาได้ยิน มีกลเม็ดอะไรให้ตัวเองฟังเค้าได้จนจบประโยคไม่ปี๊ดไม่สวนกลับไป
อย่าประมาท ถ้าเราตายไปตอนนี้ ตายไปกับอารมณ์โกรธแค้น ความร้อนในจิตเราแบบนั้นมันจะเป็นอย่างไร
ขณะที่เขียนบทความนี้บ้านเมืองกำลังร้อน เลยพาดพิงไประดับชาติมากไปหน่อย แต่เรื่องการ agree to disagree และรู้ทันตัวเองก็น่าจะนำไปใช้ได้กับทั้งระดับครอบครัว เพื่อนบ้าน และที่ทำงานนะคะ มันไม่ง่ายค่ะ แต่เราต้องฝึก ฝึก แล้วก็ฝึก ค่ะ และแน่นอนต้องรู้ไว้ว่าคงมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับบทความนี้อยู่ที่ไหนซักแห่งในโลกยุ่งๆแต่น่าอยู่ใบนี้
อ้างอิง:1) http://socrates.berkeley.edu/~kihlstrm/JastrowDuck.htm
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น