วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทพญ.พรรณี ผานิดานันท์ ต้นตระกูลชมรมทันตสาธารณสุขภูธร

สัมภาษณ์โดย ทันตแพทย์ วัฒนะ ศรีวัฒนา โรงพยาบาลมหาสารคาม

หากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน ประมาณเดือนธันวาคม 2522 ในงานประชุมวิชาการของทันตแพทยสมาคม ที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทันตแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ทำงานในกระทรวงสาธารณสุขประมาณ 30 คนได้รวมตัวกัน ริเริ่มรังสรรค์สิ่งที่งดงามมาจนปัจจุบัน หนึ่งในผู้ก่อตั้งและเป็นประธานชมรมทันตภูธรคนแรก นั่นคือ อาจารย์หมอพรรณี หรือพี่พรรณี ผู้จะกลายเป็นตำนานเล่าขานต่อไป เนื่องจากเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ พี่พรรณีก็จะเกษียณอายุราชการครบ 60 ปี เพื่อให้พี่จะได้พักผ่อนหลังจากได้บุกเบิกและสร้างสรรค์งานทันตสาธารณสุขมาโดยตลอดอายุราชการ พี่ๆน้องๆหลายท่านคงอยากรู้จักพี่พรรณีคนนี้ คนที่เป็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังของพวกเราทันตบุคลากรมาโดยตลอด จึงเป็นโอกาสอันดีที่พี่พรรณีให้สัมภาษณ์ลงในวารสารทันตภูธรของเรา





< ขอให้พี่เล่าความหลังเมื่อครั้งรับราชการใหม่ๆครับ
> พี่จบทันตแพทย์เมื่อ 36 ปีที่แล้ว (ว๊าว!!เยอะจัง) ในปีแรกพี่ทำงานเป็น intern ที่คณะทันตแพทย์ จุฬาฯ ซึ่งจะมีintern (ว่าที่อาจารย์ทันตแพทย์) รุ่นเดียวกัน 20 คนจากคน ที่จบ 80 กว่าคน พอปีที่ 2 พี่ขอมาสอบบรรจุเข้ารับราชการในกระทรวงสาธารณสุข บังเอิญสอบได้จึงเลือกทำงานที่บ้านเกิดคือโคราช โดยเลือกทำงานที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาเป็นที่แรก และก็ทำงานที่นี่ที่เดียวตลอด ไม่เคยย้ายไปไหนเลยตลอดชีวิตราชการ

< สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)ในสมัยก่อนเป็นยังไงบ้างครับ
> ช่วงที่พี่มาทำงานที่โคราชใหม่ๆประมาณ ปี 2516 ขณะนั้นมีทันตแพทย์ที่ทำงานสสจ.ทั้งประเทศ ประมาณ 4 จังหวัด (ขอนแก่น,อุดรธานี,ชลบุรี,และโคราช) ช่วงแรกพี่ถูกส่งไปฝึกงานที่โรงเรียนทันตาภิบาลที่ชลบุรีเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อให้รู้จักบทบาทหน้าที่ของทันตาภิบาล เนื่องจากภารกิจของทันตแพทย์ในสสจ.ขณะนั้นส่วนหนึ่งได้แก่เป็นผู้นิเทศและสนับสนุนทันตาภิบาล และให้บริการทันตกรรม ซึ่งพี่ก็เปิดคลินิกทันตกรรมในสสจ.ทุกวันมีคนไข้ล้นหลามมากมาย จนอยู่มาวันหนึ่งมีผู้นิเทศจากกอง ทันตสาธารณสุขบอกว่าพี่ทำผิดหน้าที่ ไม่ควรมาทำงานบริการทันตกรรมแข่งกับโรงพยาบาลเมืองนครราชสีมา(โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ในปัจจุบัน)

< ทำงานสสจ.ใหม่ๆมีปัญหาอะไรบ้างครับ
> สิ่งที่เป็นปัญหาที่ใหญ่ในการทำงานช่วงแรก คือพี่ไม่รู้จักงานอื่นๆเลย ไม่ว่าจะเป็นงาน แม่และเด็ก งานสุขาภิบาล งานควบคุมโรค เป็นต้น เพราะพี่มาทำงานก็ต้องเป็นหัวหน้าเลย และต้องทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายทันตสาธารณสุขควบกับหัวหน้าฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ พอพี่ทำงานครบ 2 ปีพี่จึงขออนุญาตลาศึกษาต่อสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิต หรือ สม.เพื่อให้เรียนรู้งานสาธารณสุขในด้านอื่นๆและมีแนวคิดในการทำงานที่กว้างขึ้น จนได้รับความไว้วางใจจากนายแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ให้ดูแลงานด้านอื่นๆมาโดยตลอด


< จากอดีตจนถึงปัจจุบันงานทันตสาธารณสุขในโคราชเปลี่ยนแปลงไปมากไหมครับ
> สิ่งที่เห็นได้ชัด คือจำนวนทันตบุคลากร เมื่อก่อนมีทันตาภิบาลทั้งจังหวัดเพียง 5 คนไม่มีทันตแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนเลย จะมีก็เพียง ทันตแพทย์ในโรงพยาบาลเมืองนครราชสีมา 3 คน ในปัจจุบันมีทันตาภิ-บาล 217 คนและทันตแพทย์ 106 คน ไม่นับรวมภาคเอกชนและสังกัดกระทรวงอื่นๆ จะเห็นได้ว่าการที่พี่อยู่เป็นหลักที่สสจ. ก็มีน้องๆที่สนใจเข้ามาทำงานร่วมด้วยมากมาย


ทันตบุคลากรในโคราชมากมายขนาดนี้ พี่มีวิธีบริหารจัดการอย่างไรครับ>เนื่องจากโคราชมีพื้นที่รับผิดชอบกว้างใหญ่ เราจึงมีแนวคิดในการทำงานโดยการซอยแบ่งเป็นพื้นที่เป็น 9 โซน โดยที่แต่ละโซนจะมีรุ่นพี่ที่อาวุโสเป็นแกนเพื่อดูแลน้องๆภายในโซนตัวเองทั้งในด้านวิชาการและทรัพยากรต่างๆ โดยที่จังหวัดสนับสนุนการทำงาน เช่นทำวิทยุเชิญให้น้องๆภายในโชนไปร่วมประชุมกัน และการสนับสนุนให้รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อร่วมกันคิด ร่วมกันทำงานได้แก่ชมรมทันตแพทย์โรงพยาบาลอำเภอ และชมรมทันตาภิบาลโดยมีการประชุมภายในกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 กลุ่มมีความเข้มแข็งมาก และเป็นกำลังสำคัญในการพิจารณาข้อเสนอต่างๆเช่น การจัดสรรทรัพยากรในงานsealant งานฟันเทียมพระราชทาน งานทันตสาธารณสุขใน PCU

< ภาพรวมของทันตสาธารณสุขทั้งประเทศภาครัฐในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
>ภาพรวมของทันตแพทย์ทั้งในด้านทันตกรรมและทันตสาธารณสุขเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้มาจากการเพิ่มขึ้นของทันตแพทย์ใช้ทุน (ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจก็ ตาม)รวมทั้งการเพิ่มของทันตาภิบาลในสถานีอนามัย ทำให้มีกำลังคนเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดอำนาจในการต่อรองในเรื่องความก้าวหน้ามากขึ้นกับส่วนกลาง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่กำหนดให้งาน ทันตกรรมเป็นสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนทำให้เกิดการเข้าถึงบริการมากยิ่งขึ้นและสร้างความสำคัญให้กับงานทันตสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี



< หากจะเปรียบเทียบภาพลักษณ์ทันตแพทย์ที่ทำงานในพื้นที่ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคใช้ทุนในปัจจุบัน มีความแตกต่างมากน้อยอย่างไรครับ
>เมื่อก่อนทันตแพทย์รับราชการมีน้อยเนื่องจาก กพ.มีตำแหน่งให้บรรจุน้อย แม้ทันตแพทย์บางคนสอบกพ.ได้แต่ก็ไม่ได้ทำงาน บางคนต้องเป็นลูกจ้างไปก่อนก็มี ดังนั้นทันตแพทย์ในยุคนั้นจึงเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจอยากทำงาน อยากพัฒนา อยากมาแก้ไขปัญหา และที่สำคัญ อยู่ทน ไม่ลาออกมากมายเหมือนปัจจุบัน มาในยุคเริ่มมีการใช้ทุนรุ่นแรก(ปี2532)เป็นรอยเชื่อมต่อกับยุคแรก หลายคนมีความตั้งใจทำงานเหมือนรุ่นพี่ๆ จวบจนปัจจุบันที่เปิดให้มีการใช้ทุนมาเกือบ 20 ปีพื้นที่ที่ให้เลือกก็มีน้อยลง ทำให้น้องมีข้อจำกัดหาพื้นที่ทำงานดีๆยาก อีกทั้งน้องหลายคนก็ไม่เลือกที่จะก้าวหน้าทางราชการ ส่วนหนึ่งทำงานอยู่ไม่นาน ก็ลาออก ย้ายหรือไปเรียนต่อ

< แก้ไขยังไงดีครับ
> พี่คิดว่าอาจเป็นเพราะว่าเราคิดไม่ทันความต้องการน้องรุ่นใหม่ๆ ด้วยปัญหาจากพื้นที่ในการทำงานที่กล่าวมาแล้ว และด้วยเรื่องส่วนตัวน้องเอง หากเป็นไปได้ อยากฝากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเฉพาะคณะทันตแพทย์ในการคัดเลือกคนในพื้นที่ให้เข้าเรียนทันตแพทย์ เพราะคนเหล่านี้จะเป็นทันตแพทย์ที่รักบ้านเกิด อยากกลับมาพัฒนาบ้านตัวเอง เช่นที่โคราชมีทุนจุฬาชนบท ส่งคุณหมอจอนสัน ประธานชมรมทันตแพทย์โรงพยาบาลอำเภอ ไปเรียนทันตแพทย์แล้วกลับมาสร้างสิ่งดีให้กับมาโคราชมากมาย


< แล้วส่วนทันตาภิบาล ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เรามีความก้าวหน้าและช่วยเหลือทันตาภิบาลอย่างไรบ้างครับ
> ในความคิดของพี่ ความก้าวหน้าของทันตาภิบาลค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับปริมาณที่มีมากในปัจจุบัน แต่เดิมทันตาภิบาลระดับ 6 จะมีเพียงคนเดียวทั้งจังหวัดและต้องทำงานที่สสจ.เท่านั้น ปัจจุบันทุกคนก็สามารถถึงระดับ 6 ได้แต่ถ้าจะขึ้นระดับ 7 ต้องไปโตในสายงานอื่นทำให้เกิดสมองไหล มีทันตาภิบาล 2 คนที่ทำงานกับพี่ตั้งแต่มาพี่เริ่มบรรจุ ปัจจุบันก็เปลี่ยนสายงานหมดแล้ว คนนึงเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร อีกคนนึงเป็นหัวหน้าภาควิชา เสียดายคนเก่งๆที่ต้องเปลี่ยนสายงาน รวมทั้งปัจจุบันน้องทันตาภิบาลก็ได้รับบรรจุเป็นข้าราชการก็น้อย ทำให้น้องก็ต้องดิ้นรนเปลี่ยนสายงาน ส่วนเรื่องหลักสูตรทันตาภิบาล 4 ปี เราก็ขาดแกนนำ และเจ้าภาพหลัก ทั้งนี้เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขเองก็ไม่ได้มีภารกิจหลักในการผลิตหลักสูตรปริญญาตรี อย่างไรก็ตามปัจจุบันแนวโน้มออกมาดี ที่ทันตแพทยสภาได้เห็นชอบหลักสูตร ทันตาภิบาล 4ปีจะเป็นโอกาสที่น้องทันตาภิบาล 4 ปี ได้เปลี่ยนเข้าสู่แท่งเงินเดือนวิชาการ ตามพรบ.ข้าราชการพลเรือนปี 51 ก็จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น

< พี่มีความฝันหรือคาดหวังกับน้องทันตาภิบาล รุ่นใหม่ๆอย่างไรบ้างครับ
> พี่อยากจะเห็นน้องทันตาภิบาลที่จบปริญญาตรี ปริญญาโท หรือที่เปลี่ยนสายงานได้กลับมาร่วมกันพัฒนางานทันตสาธารณสุข ในตำแหน่งนักวิชาการทันตสาธารณสุข กันต่อไป

< แล้วน้องทันตแพทย์ จะทำอย่างไรให้น้องทำงานในพื้นที่ได้ยาวนาน และอยู่อย่างมีความสุขครับ
> สิ่งหนึ่งที่จะอยู่ได้นานและมีความสุข ส่วนหนึ่งสร้างได้จากการสร้างทันตแพทย์ที่มาจากคนในพื้นที่ คนในภูมิภาค มุมมองหรือการปรับตัวในการทำงานก็จะเป็นไปด้วยความไม่ลำบาก อีกส่วนหนึ่งที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้ไปแล้ว คือค่าตอบแทนไม่ว่าจะเป็นพตส. เบี้ยกันดาร เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย เงินไม่ทำเวชปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับภาคเอกชนมากนัก หากย้อนกลับดูประวัติศาสตร์พี่เริ่มทำงานได้แต่เงินเดือนอย่างเดียว 1,800 บาท ไม่มีเบี้ยเลี้ยงใดๆทั้งสิ้น เหมือนปัจจุบัน ถ้าพิจารณาน้องในปัจจุบันน่าจะมีความสุขมากเมื่อเทียบกับพี่ในอดีต


< ทราบว่าอีกหนึ่งบทบาทของพี่คือประธานชมรมทันตแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ขอถามว่าทิศทางของทันตแพทย์ในสสจ.จะเป็นอย่างไรต่อไปครับ
> หลังจากโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2548 ทำให้สลายกรอบอัตรากำลังและงานทันตสาธารณสุขก็หายไป ชมรมทันตแพทย์สสจ.ได้ต่อสู้มาโดยตลอดตั้งแต่การทำหนังสือถึงรัฐมนตรีคุณหญิงสุดารัตน์ ในสมัยนั้น หรือปลัดกระทรวง จนปัจจุบันเราได้โครงสร้างกลุ่มงานทันตสาธารณสุขกลับคืนมา คงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราจะอยู่ทำงานโดยไม่มีโครงสร้าง ส่วนกรอบอัตรากำลัง พี่คิดว่าเมื่อเราทำงาน มี workload เราก็จะขอคนมาทำงานได้เอง ส่วนบทบาทของกลุ่มงานทันตสาธารณสุขเอง จะต้องเป็นศูนย์กลางในการพัฒนางานทันตสาธารณสุขระดับจังหวัด อันหมายถึงการกำหนด(defenite)ปัญหาของงานได้ถูกต้อง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพช่องปาก บุคลากร การทำงานในพื้นที่ การสนับสนุน รวมไปถึงการค้นหาเป้าหมายในการทำงาน การเรียงลำดับปัญหา รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดในระดับจังหวัด โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าตัวชี้วัดในระดับประเทศจะมีหรือไม่ เพราะระดับประเทศเองงานทันตสาธารณสุขคงไม่อยู่ในงานนโยบายระดับต้นๆแน่นอน โดยสรุปกลุ่มงานทันตสาธารณสุขในสสจ.จะต้องทำหน้าที่ตั้งแต่การกำหนดยุทธศาสตร์ ประเมิน สนับสนุนทั้งวิชาการ และทรัพยากร ให้กับน้องๆภายในจังหวัด และการเป็นผู้ถ่ายทอดความสำคัญของงานทันตสาธารณสุข ให้กับผู้บริหารทุกระดับ ทั้ง สสจ.,สสอ. และรพช.

< สุดท้ายอยากให้พี่แสดงความเห็นกับชมรมทันตภูธร ของเราบ้างครับ
>พี่ขอชื่นชมชมรมทันตภูธรด้วยความจริงใจ และเป็นที่น่ายินดีที่เห็นหลายคนมีส่วนร่วม มีความเข้มแข็ง แม้คนที่เป็นแกนจะเหนื่อย และเสียสละอย่างมาก โชคดีที่มี คุณหมอบานเย็น ประธานคนปัจจุบันที่รวบรวมและเป็นตัวเชื่อมประสานได้อย่างดี เนื่องจากชมรมจะเป็นศูนย์กลางหรือเป็นสื่อในการเชื่อมโยงคนทำงานทันตสาธารณสุข เป็นเวทีที่ถ่ายทอดความคิดเห็นของคนในพื้นที่ให้กับผู้บริหาร และเป็นกำลังใจให้กับคนทำงาน พี่เป็นคนหนึ่งที่อ่านวารสารทันตภูธรเป็นประจำ หลายบทความให้กำลังใจในการทำงานเป็นอย่างดี สิ่งที่พี่อยากจะฝากได้แก่ ทำอย่างไร ทุกคนจะมีส่วนร่วม ไม่ให้บางคนแบกภาระมากจนเกินไป

และนั่นคือแนวคิดของผู้ทำงานทันตสาธารณสุขมาตลอดชีวิต ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าในการประชุมเพื่อเสนอความคิดในการแก้ไขปัญหาที่เฉียบคม ซึ่งก็เป็นบุคคลท่านเดียวกับ ที่อยู่เบื้องหลังเพื่อเรียกร้องความถูกต้องยุติธรรมให้กับพวกเรา ถึงแม้พี่พรรณีของเราจะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่เชื่อว่าพี่พรรณีก็ยินดีเป็นที่ปรึกษา ให้กับน้องๆ ชาวทันตสาธารณสุขต่อไปนะครับ

0 ความคิดเห็น: