วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จุดประกายความคิด : ความสุขที่แท้จริงจากมุมมองของนักจิตวิทยาตะวันตก



โดย ทพญ.มัทนา พฤกษาพงษ์


ได้ดูสารคดีฝรั่งเรื่อง ทำอย่างไรถึงจะมีความสุข น่าสนใจดีนะคะเวลาได้ดูได้ฟังว่าเขาคิดอะไรกันสารคดีนี้ติดตามบันทึกงานวิจัยของกลุ่มนักจิตวิทยาในอเมริกากลุ่มหนึ่งที่เรียกศาสตร์แขนงของพวกเขาว่า จิตวิทยาเชิงบวก (positive psychology)คือ แทนที่จะไปจ้องศึกษาผู้ป่วยที่มีปัญหาซึมเศร้าหรือโรคจิตเภทแบบต่างๆว่ามีสารเคมีหรือส่วนประกอบอะไรในสมองที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกตินั้นๆเขากลับมองว่าแทนที่จะหาปัญหาเน้นความผิดปกติ เราน่าจะมาศึกษา มาหาปัจจัย ที่ก่อให้เกิดผลทางบวกบ้างดีกว่า เช่น อะไรบ้างที่ทำให้คนเราดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข


ก็เริ่มจากการหาเครื่องมือวัดความสุขใช้ทั้งแบบสอบถาม ใช้ทั้งการตรวจกล้ามเนื้อบนใบหน้าและการตรวจวัดคลื่นในสมองเขาเชิญผู้คนหลากหลายแบบ (รวมไปถึงพระธิเบต) มาตรวจ MRI ว่าสมองส่วนไหนเกี่ยวข้องกับความสุขระดับต่างๆด้วยค่ะเขาศึกษาวิจัยจนพอที่จะตอบได้ว่า ความสุขคืออะไร และสิ่งที่ทำให้มีความสุขนั้นคืออะไรบ้างที่น่าสนใจคือประเด็นที่เขาเชื่อว่า ความสุขที่แท้จริงมันสอนกันได้ประมาณว่าคนเราเนี่ยะ รู้ว่าตัวเองไม่มีความสุขแต่มีหลายต่อหลายคนนักที่ไม่พ้นจากความทุกข์สักที เพราะไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไรเพราะฉะนั้นต้องสอนให้รู้จัก ถึงจะเจอ ถึงจะเข้าใจ (อันนี้ชาวพุทธ อย่าเพิ่ง ‘มานะ’ สูงคิดว่า อ้าว ฝรั่งพวกนี้ไม่เคยศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าหล่ะสิ ... ใจเย็นๆ ค่อยๆอ่านต่อไปค่ะ)


เขาทดลองสอนกลุ่มคนที่ไม่มีความสุข โดยให้เริ่มจากการตอบแบบสอบถามเรื่องระดับความสุขด้านต่างๆแล้วก็ให้เอามือจุ่มลงไปในโถน้ำที่มีน้ำแข็งเต็ม แล้วจับเวลาดูว่าทนได้นานเท่าไหร่ด้วยเหตุผลที่ว่าคนที่คิดว่าตัวเองมีความสุขมาก ก็จะมีความอดทนต่อความเจ็บสูงมากขึ้นด้วย

หลังจากนั้นก็มีกิจกรรมให้ทุกคนทำคนละ 3 กิจกรรม

กิจกรรมแรก : เขาสั่งให้ผู้ร่วมวิจัยไปทำอะไรก็ได้ ที่คิดว่าทำให้มีความสุขแบบเพลิดเพลิน ลืมทุกข์ทุกคนก็กลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มบอกว่า ดีมากเลย ไปสปา ไปช้อปปิ้ง ไปแดนซ์กระจายมา ไปขับรถแข่งมา เป็นต้น


กิจกรรมที่ 2 : สั่งให้ไปทำกิจกรรมอาสา ทำความดีต่อสังคมอย่างไรก็ได้ ผู้ร่วมวิจัยก็ไปอาสาจัดอาหารแจกให้คนจนบ้าง ไปเก็บขยะในสวนสาธารณะบ้าง คนกลัวเข็มไปให้เลือด คนชอบช้อปปิ้งก็ไปบริจาคเสื้อผ้าของตัวเอง โดยที่ใช้เวลา รีด พับให้อย่างดี ไม่ใช่แค่ยัดๆใส่ถุงบริจาคผลที่ได้ ผู้ร่วมวิจัยบอกว่า รู้สึกดี...ก็รู้สึกดี แต่ที่พวกเขาสังเกตคือ กิจกรรมพวกนี้ถึงทำเสร็จไปแล้วเป็นวันๆพวกเขาก็ยังรู้สึกดีค้างอยู่ไม่เหมือนกับกิจกรรมแรก นอกจากนั้นสิ่งเหล่านี้ยังทำให้พวกเขาคิดต่อยอดไปถึงเรื่องต่างๆคิดถึงคนอื่น คิดถึงความเกี่ยวข้องกันของคนในสังคม คิดว่าปัญหาจริงๆคืออะไร แล้วเรื่องของเขาคือปัญหาจริงๆหรือไม่ เป็นต้น


กิจกรรมที่ 3 : ข้อนี้ทรงพลังมากค่ะ ผู้ร่วมวิจัยถูกสั่งให้ไปหาคนที่เขาคิดว่ามีบุญคุณกับเขา อยากขอบคุณคนคนนั้นแต่ยังไม่เคยได้ทำไม่น่าเชื่อค่ะ กิจกรรมนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก ผู้ร่วมวิจัยรู้สึกว่า ได้ทำให้สิ่งที่ไม่นึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้รู้สึกมีความสุขและมีความหมายได้มากขนาดนี้


พอหมดสามกิจกรรม ทุกคนต้องกลับมาตอบแบบสอบถามเดิม ปรากฏว่าทุกคนมีความสุขมากขึ้น พอใจในชีวิตของตน แล้วก็สามารถเอามือจุ่มน้ำเย็นเจี๊ยบได้นานขึ้นมาก มากจนนักวิจัยต้องบอกให้เอามืออกจากโถ เมื่อเวลาผ่านไป 3 นาที



ตอนนี้ผลการทดลองนี้ ได้กลายเป็นหลักสูตรสอนเด็กมหาวิทยาลัยหลายๆแห่งในอเมริกาและในโรงเรียนมัธยมในออสเตรเลียซึ่งดูจะได้ผลตามที่พวกเขาคาดหมายนอกจาก 3กิจกรรมนี้แล้ว ยังมีกิจกรรมเสริมอื่นๆด้วยเช่น การฝึกเจริญสติครูขอแค่วันละ 2รอบ รอบละไม่กี่นาที ให้นักเรียนรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วให้เขียนไดอารี่บันทึกว่ารู้สึกอย่างไร ว่ากิจกรรมนี้มีผลกับชีวิตอย่างไร บางที่ให้นั่งสมาธิวันละ 15นาทีบางที่ให้ไปเล่นโยคะ บ้างก็ให้ฝึกทานอาหารแบบทีละคำให้รู้สึกถึงรสชาติที่ลิ้น รูปที่เห็น กลิ่นที่ได้ดม เอาให้ดื่มด่ำ ไม่ใช้กินๆเร็วๆให้หมดจานไป


บางที่ก็ให้นร.เขียนจม.สั้นๆ ขอบคุณพนักงานในโรงเรียนเช่นฝ่ายเลขานุการและภารโรงบ้างก็หาโค้ชที่คอยให้คำปรึกษา โดยการมองหาข้อดีในแต่ละสถานการณ์ให้ได้เช่น นร.บอกว่า "ท้อมาก งานเยอะเหลือเกิน เหนื่อย" โค้ชก็จะบอกว่า"แต่เนี่ยะรู้มั้ยฉันยังไม่เห็นเธอพูดว่า แย่แล้วมันยาก ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ เลยหนิ ยังดีนะ" เป็นต้นค่ะคือบางที่เรามองโลกในแง่ดีไม่ได้ เพราะเราจมอยู่กับปัญหาจนมองไม่ออกก็ให้หาคนมาช่วยมองมาให้กำลังใจน่าลองดูนะคะ เอาไปใช้ในที่ทำงานก็ได้ค่ะมีบริษัทคั่วเมล็ดกาแฟแห่งหนึ่งในอเมริกาก็นำความรู้นี้ไปใช้ทำให้พนักงานมีความสุขเพราะเขาเชื่อว่าถ้าพนักงานมีความสุข งานก็จะออกมาดีมีประสิทธิภาพแถมพนักงานก็รักบริษัทด้วย


ความรู้ทั้งหมดที่เขาค้นหามาสรุปได้สั้นๆว่าสิ่งที่ช่วยทำให้มีความสุขที่แท้จริงคือการได้ทำดีต่อผู้อื่น การมองโลกในแง่ดี ความกตัญญูรู้คุณและการที่ได้ขอบคุณบ่อยๆการมีส่วนร่วมในสังคม การมีความหวังและการทำกิจกรรมทางจิตวิญญาณไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนหรือไม่มีศาสนาก็ตามจะเห็นได้ว่า ทางฝั่งตะวันตกมีความสนใจในการเจริญสติทำสมาธิกันมาก เรามาดูกันต่อไปค่ะว่าแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์จะพาพวกเขามาถึงจุดที่เขาตระหนักว่าความสุขที่แท้จริงแบบสุดยอดนั้นคือ การหลุดพ้นหรือไม่


ก่อนจากกันวันนี้มีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆมาฝากค่ะ นักจิตวิทยาพบว่าสมองคนเราแยกไม่ออก ว่าการยิ้มหรือหัวเราะแบบฝืนๆหรือแบบจริงต่างกันอย่างไรเพราะฉะนั้นให้ลองฝืนยิ้มหรือแกล้งหัวเราะดูก็จะรู้สึกดีขึ้นตอนนี้มีการสอนโยคะหัวเราะโดยเฉพาะด้วยค่ะ !
แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า



1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณค่ะ สำหรับบทความ