วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เรื่องเล่าจากภูอังลัง : หลวงพระบาง...กับการเดินทางประเภทหนึ่ง

โดย หมอฟันไทด่านกับคุณดารัช


ผมจำไม่ได้ว่า“ การเดินทางแบบนี้ ” ถูกสถาปนาเข้าสู่ชีวิตของเราตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอใจและมีความสุขกับมัน แม้ดูไม่คุ้มค่า หากเทียบวัดกันด้วยปริมาณสถานที่ที่ได้พบเห็น
คุณดารัช เธอพูดถึงการเดินทางแบบ “ช้า” นี้ว่าเป็นการใช้เวลาช่วงหนึ่งในการเข้าไปใช้ชีวิตกับเขา-คนของที่นั่น เป็นการไป “อยู่” ไม่เพียงแต่เที่ยว พบ แล้วผ่านเลย เธอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ที่หากเดินทางแบบ “เร็ว” คงยากที่จะพบเห็น ภาพสวยในความทรงจำนั้น เป็นภาพยามบ่ายในบ้านเก่าโบราณริมน้ำคาน แสงแดดเป็นลำสวยสีทอง คุณยายกำลังนั่งเย็บกระทงสำหรับลอยลงสู่สายน้ำในคืนออกพรรษา เวลานั้นผมไม่คิดถึงการถ่ายรูปเลย เพราะคิดว่านอกจากจะล่วงล้ำละเมิดสิทธิแล้ว ยังแน่ใจว่าไม่มีกล้องถ่ายรูปใดๆที่จะบันทึกภาพได้สวยไปกว่าใช้ตาเห็นและใจสัมผัส นั่นคงเป็นเหตุให้ 5 วัน ในเมืองหลวง-หลวงพระบาง อวัยวะที่เราใช้บ่อยที่สุดน่าจะเป็น “เท้า” สำหรับการ “เดิน”
การเดินทางช้า ทำให้เราสัมผัสกับคนหลายคนอย่างใกล้ชิด มากพอที่จะสรุปได้ว่าคนลาวน่ารัก น่ารักจริงสมดั่งคำเล่าลือที่เคยฟังๆมา


ในตลาดติด(กับ)ดินยามเช้า เราเลือกปอเปี๊ยะสด เป็นอาหารมื้อแรกของวัน คุณยายคนขายหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางใจดี ห่อให้กินกันสดๆแบบคำต่อคำ คุณยายเล่าว่ามีพ่อเป็นคนเชียงคาน เลยได้ล่องโขงลงไปถึงที่นั่นหลายครั้ง บางปีในหน้าหนาว เคยเข้าไปเที่ยวงานดอกฝ้ายกันถึงเมืองเลยทีเดียว ประโยคแรกๆที่ คุณยายพูดกับเราเมื่อรู้ว่ามาจากเมืองไทย คือเห็นใจคนไทย ช่วงนั้นมีน้ำท่วมหนักในหลายจังหวัด คุณยายดูข่าวก็สงสาร แกว่าโชคดีที่เมืองลาวมีพื้นที่สูงกว่า น้ำเลยไม่ค่อยท่วมแบบเมืองไทย ที่ “น้ำเพียงดิน ดินเพียงน้ำ” ดินกับน้ำเสมอกัน



ยามบ่ายหลังเดินเลาะเลียบน้ำคาน เราตั้งใจเดินออกนอกเมืองเพื่อซื้อซิ่นที่ร้านนางเพ็ง ร้านนี้ไกด์สาวชาวลาวแนะนำ ไกด์คนนี้เราพบเธอที่ถ้ำติ่ง เธอมากับลูกทัวร์กรุ๊ปอื่น แต่ตอบคำถามหลายคำถามด้วยเต็มใจ เธอบอกว่า ซิ่นนางเพ็งสวยและเกรดดี แม้แต่แอร์โฮสเตสสายการบินลาวก็สั่งตัดที่นี่ ใช่แล้ว...ซิ่นของแอร์บนเรือบิน ขาบินมาสีน้ำเงินสด งามจริงๆ

ร้านนางเพ็งไกลมากจนเดินไม่ไหว เลยเรียกใช้บริการสามล้อของหนุ่มหน้าซื่อคนหนึ่ง วนหาร้านจนเจอ วันอาทิตย์ร้านปิดเจ้าของร้านไม่อยู่แต่มีคนมาเปิดร้านให้ เราคุ้ยกันเพลิน น้องสามล้อหน้าซื่อยินดีรอเราอยู่แถวๆนั้น วันนั้นเลยได้ซิ่นสำหรับ คุณดารัช 1 ผืนและซื้อฝากแม่อีก 1 ผืน กับความรู้ใหม่ที่ว่า ซิ่นลาว มี 2 ส่วนเวลาซื้อจะเลือกแยกจากกัน ส่วนผ้าถุงส่วนบนสีพื้นเรียบๆกับผ้าลายวิจิตรที่อยู่ล่างสุด แล้วค่อยมาเย็บเข้าด้วยกันทีหลัง การนุ่งซิ่นที่เมืองลาวนี้ก็มีแฟชั่น นอกจากลายที่ต่างกันแล้ว สาววัยรุ่นนิยมนุ่งสั้นขึ้นมาหน่อย กว่าผู้ใหญ่ที่นุ่งยาวเกือบถึงระดับตาตุ่ม

สามล้อใจดีไม่ฟันราคาแม้ต้องรอเรานานเป็นชั่วโมง ถ้าเป็นเมืองท่องเที่ยวเมืองอื่นๆ คงถูกเรียกร้องมากกว่านี้และไม่มีสิทธิปฏิเสธเพราะไม่ได้ตกลงราคากันก่อน เนื่องจากไม่ได้กะให้รอตั้งแต่แรก นั่นเป็นที่มาให้วันกลับเราเลยได้นั่งสามล้อ skylab คันเดิมไปต่อเครื่องบินที่สนามบินหลวงพระบางกลับเวียงจันท์

เย็นเกือบทุกวัน คุณดารัช เธอจะวนเวียนอยู่แถวร้านข้าวจี่ ข้าวจี่ที่นี่ มี 2-3 รส ทำง่ายๆ โดยเอาก้อนข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนแบนๆ รูปรีๆ ชุบไข่ปรุงรสเสียบไม้แล้วย่างไฟอ่อน หลังจากชิมทุกรสแล้ว เธอยกให้ข้าวจี่รสน้ำปลาร้าชนะเลิศ แม้แวะไปทุกวันมิได้ขาด แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็เตือนด้วยความปรารถนาดีทุกครั้ง ป้าจะยิ้มแล้วว่า “ นี่ปลาร้านะ กินเป็นเหรอ ” เธอว่านั่นแหล่ะสุดยอดของความ “แซ่บนัว” เชียวหล่ะ ผมคิดในใจ ป้าไม่รู้หรอก แม้เธอจะไม่มีกำพืดทางลาวหรืออีสาน แต่ว่าปริมาณปลาร้าในเส้นเลือดเธอสูงขนาดไหน



ค่ำๆ หลังเดินชมการจุดโคมกระดาษสีสวยที่แขวนไว้ตามวัดและหน้าบ้าน แถมด้วยโคมเทียนหมุนได้ เป็นเงารูปสัตว์นานาชนิดและรูปอื่นๆอีกหลายอย่าง เราเดินกลับมาแถวเคียงคำวิลล่าที่เราพัก ใกล้ๆกันมีร้านอาหารริมสระน้ำใหญ่ ชื่อบัวกลางบึง เจ้าของคนไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปหลักที่โน่นแล้ว บอกว่าเวลาทำการจะเปิด 7 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม...ตามเวลาที่ดอกบัวบาน....


เราเจอ “เซี๊ยะ” ที่ร้านนี้ เซี๊ยะ ลี เป็นเด็กชายวัยรุ่นเผ่าม้งที่เรียกกันว่า ลาวสูง ตัวเล็ก ท่าทางเรียบร้อย น้องเซี๊ยะขวัญใจคุณดารัชเธอ เรียนอยู่โรงเรียนมัธยม และใช้เวลาช่วงเย็นถึงค่ำมาทำงานที่ร้านจนร้านปิด ก่อนถีบรถถีบฝ่าความมืดกลับบ้านอีกไกล น้องเขาฝันถึงการเรียนในมหาลัยที่เวียงจันท์ ความฝันของน้องจะเป็นจริงหรือไม่คงไม่สำคัญ เพราะเชื่อว่าจากความมุ่งมั่นและอดทน ชีวิตน้องเขาน่าจะไปได้ดี น้องทำงานประมาณวันละ 6 ชั่วโมงเกือบทุกวัน กับรายได้เดือนละ 800 บาท รู้ถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้สึกอะไร แต่คุณดารัชเธอทำหน้าเศร้า เธอว่ามันเท่ากับราคาค่าที่พักเพียง 1 คืนของเราพอดี


..............ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในหรือต่างประเทศ ผมเชื่อของผมว่า หากเดินทางช้า อย่างไม่ฉาบฉวย จะทำให้เราเข้าใจในความต่างระหว่างถิ่นฐาน เชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์ เป็นการเปิดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์เท่าเทียมระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ ให้เราละคลายมายาคติที่อาจเคยติดยึดมาก่อน และนั่นคงทำให้โลกนี้มีสงครามน้อยลง สงบสุขและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น.............?


0 ความคิดเห็น: