วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จดหมายจากยายเพลิน เรื่อง ..ไทยเสียดินแดน,หัวข้อธรรมคำกลอน

หัวข้อธรรมคำกลอน


จดหมายจากยายเพลิน เรื่อง ..ไทยเสียดินแดน



( ขอบคุณข้อมูลจาก นสพ.ไทยโพสต์ , เวบไซต์ผู้จัดการออนไลน์) ยายเพลินจ้ะ


เชื่อว่าทุกท่านคงได้ยินข่าวบ้างว่าประเทศไทยยกอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารให้แก่กัมพูชาไปแล้ว ตามที่ท่านทราบกันอยู่แล้วค่ะว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกได้ตัดสินคดีความระหว่างกัมพูชากับไทยเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร”ไปแล้วในวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1962 หรือพ.ศ. 2505 ราว 46 ปีก่อน



ในคราวนั้นศาลโลกตัดสินคดีนี้ไว้ดังต่อไปนี้ค่ะ
1) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ตัดสินไว้ว่า เฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ที่เป็นของกัมพูชา

2) ปราสาทอื่นในบริเวณนั้นอีก 3 หลัง รวมทั้งบันไดทางเดินขึ้นปราสาทพระวิหารทั้งหมดนั้น ศาลโลก ไม่ได้ ตัดสินให้เป็นของกัมพูชา และประเทศไทยก็ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติของประเทศไทยตลอดมา

3) พื้นที่อันเป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งบันไดทางขึ้น จำนวน 2.5 ตารางกิโลเมตร เป็นดินแดนของประเทศไทยเป็นอธิปไตยของประเทศไทย และศาลโลกก็ ไม่ได้ ตัดสินให้เป็นของกัมพูชา
4) พื้นที่นอกบริเวณพื้นที่อันเป็นที่ตั้งตัวปราสาทและบันไดทางขึ้น มีอาณาเขตประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกินพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติพระวิหาร มีชาวกัมพูชามาตั้งร้านค้า ตั้งวัดอยู่แล้ว และเป็นดินแดนของประเทศไทย เป็นอธิปไตยของประเทศไทย โดยในแผนที่ของประเทศไทยก็ระบุชัดว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย



และหลังจากการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกไม่นาน...รัฐบาลไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สงวนสิทธิ์และโต้แย้งไว้ต่อสหประชาชาติว่า “ปราสาทพระวิหารนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย แต่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาไปก่อนตามพันธะแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยไทยขอยื่นประท้วงคัดค้านคำพิพากษาดังกล่าวและตั้งข้อสงวนสิทธิ์ไว้ ว่าไทยถือว่าปราสาทพระวิหารยังอยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย และจะกลับไปครอบครองปราสาทพระวิหารอีกเมื่อคำพิพากษาได้รับการพิจารณาทบทวนแก้ไข”



ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความเห็นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ว่า “ คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกไม่มีกลไกบังคับคดี ในทางปฏิบัติจึงไม่อาจนำมาบังคับคดีได้ .. ”


จะเห็นได้ว่า นับจากวันนั้น ไทยเราไม่เคยยอมรับผลการตัดสินของศาลโลกเลยค่ะ แต่ในกาลต่อมาไม่นานมานี้ เจ้ากระทรวงการต่างประเทศยุคนี้ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ถึงสิ่งที่เรียกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เนื้อหาที่แท้จริงก็คือข้อตกลงชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ และมีผลต่อดินแดนของราชอาณาจักรไทย



ซึ่งการดำเนินการลงนามเจ้ากระทรวงการต่างประเทศในข้อตกลงนี้ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาและประชาชนไม่ทราบในรายละเอียดของหนังสือข้อตกลงดังกล่าวแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นั้นเป็นข้อตกลงประเภทที่เรียกว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ คือระงับข้อพิพาทที่มีต่อกันในเรื่องเขตแดน มีผลเป็นการระงับข้อพิพาทอื่นๆ หรือปัญหาที่เคยมีต่อกันก่อนหน้านี้ทั้งหมด โดยข้อตกลงหรือแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลนี้ คือการสละสิทธิ์ดังกล่าวทั้งหมด และยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชาอย่างถาวรตลอดกัลปาวสาน



มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาดังกล่าว อาจมีเบื้องหลังรัฐจึงไม่แถลงรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้ไทยเสียหายดังนี้



1) ปราสาทพระวิหาร ซึ่งรัฐบาลไทยสงวนสิทธิ์ไว้ว่า ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาอย่างถาวร ตลอดกาลด้วยการสละสิทธิ์ของรัฐบาลยุคนี้ โดยประเทศไทยหมดสิทธิ์ทวงคืนตลอดไป
2) ปราสาทอีก 3 หลัง รวมทั้งทางขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกันนั้นถูกยกให้แก่กัมพูชา ไปโดยปราศจากเงื่อนไข

3) ยกดินแดนอันเป็นพื้นที่ตั้งปราสาทพระวิหารและปราสาท 3 หลัง กับทั้งพื้นที่ทางขึ้นเป็นเนื้อที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ให้แก่กัมพูชา ทั้งๆ ที่เป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ และศาลโลกก็ไม่เคยตัดสินให้เป็นของกัมพูชา
4) ตกลงให้ดินแดนของประเทศไทยในพื้นที่ข้างเคียงกับพื้นที่ตั้งปราสาทซึ่งกินพื้นที่อุทยานแห่งชาติพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 8ตารางกิโลเมตร เป็น “พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา”


5) ตกลงให้กัมพูชามีสิทธิ์มีส่วนเท่ากับประเทศไทยในการจัดการและแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรของประเทศไทยได้ตลอดไป



ปราสาทพระวิหารจะเป็นของไทยหรือกัมพูชาก็ตาม อาจไม่มีผลใดๆต่อสภาวะเศรษฐกิจ ไม่มีผลต่อชีวิตประจำวัน แต่หากมีการนำดินแดนของชาติไปแลกกับผลประโยชน์มหาศาลส่วนตัวของกลุ่มการเมืองตามที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยคงไม่เหมาะไม่ควรแน่ ตราบใดที่รัฐยังไม่ชี้แจงในทุกข้อกล่าวหาของสังคม สังคมพึงโปรดพิจารณาว่า การดำเนินการของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ที่มีความเห็นชอบในแถลงการณ์อันเป็นการยืนยันให้ฝ่ายกัมพูชาสามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายเดียวนั้น ส่อว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่ออธิปไตยของแผ่นดินไทย เพราะเป็นการมุ่งทำลายจุดยืนและสิทธิตามข้อสงวนของรัฐไทย ในการที่จะพิทักษ์ไว้ซึ่งสิทธิอาณาเขตและอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารหรือไม่?? เพียงใด ??

ด้วยเหตุนี้ หากท่านผู้อ่านได้พบเห็นการต่อสู้ของชาวไทยผู้หวงแหนแผ่นดิน เพื่อทวงคืนปราสาทพระวิหารกลับคืนมาอยู่ในกรรมสิทธิ์ของประเทศไทย ขอโปรดรับฟังและทำความเข้าใจพวกเขาด้วย พวกเขากำลังดำเนินการเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อบรรพบุรุษที่เคยต่อสู้เพื่อสงวนรักษาแผ่นดินไทย และรับผิดชอบเพื่อผดุงรักษาแผ่นดินไทยไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังค่ะ





0 ความคิดเห็น: