วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คุยกับพี่เจน : Community based Oral Health อะไรคือแรงบันดาลใจ


โดย ทพญ.ศันสณี รัชชกูล ศูนย์ทันตสาธารณสุขระหว่างประเทศ จ.เชียงใหม่


# ทำไมพี่เจนถึงมุ่งมั่นทำเรื่อง Community based จังเลย?
# เวลาลงไปทำงานในชุมชนจะไปหาผู้นำอย่างพ่อหลวง สมิง ตามที่พี่เล่าให้ฟังครั้งก่อนได้อย่างไร?
# ทำได้จริงหรือ?



เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆบางคำถามที่น้องๆถามพี่เมื่อเราพบกัน ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณน้องมากๆค่ะที่ให้ความสนใจ กับบทความของพี่ ถ้าจะตอบคำถามเหล่านี้ทั้งหมดในที่นี้คงไม่พอนะคะ พี่ขอเลือกตอบคำถามแรกก่อน เพราะมันตรงกับโครงที่วางไว้ว่าจะเขียน คำถามอื่นๆ ก็คงจะทยอยตอบ(เล่าให้อ่าน)กันต่อไปนะคะ

ก่อนที่จะผ่านเลยไปถึงเรื่องใหม่ลองย้อนกลับไปตอนที่แล้วหน่อยนะคะ จากประสบการณ์ ที่บ้าน ป่าไผ่น้องๆได้บทเรียนอย่างไรบ้างคะ ถ้าให้พี่สรุปง่ายๆก็คือ การทำงานกับชุมชน ไม่ต้องไปคิดแทนเขาเพียง เสนอปัญหา สาเหตุของปัญหาให้ชัดเจน คอยสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการให้เขา แล้วให้เขาคิดเอง รับรองว่าเขาคิดได้ดีกว่าเราเยอะเลย คนในชุมชนเขาจะเข้าใจบริบทของเขาเองได้ดี (พี่ว่าเข้าใจดีกว่าเอานักวิชาการอันเก่งกาจลงไปวิเคราะห์อีก) เขารู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อะไรที่เหมาะกับเขา อะไรที่ไม่เหมาะกับเขา เราต้องเคารพในความเชี่ยวชาญด้านนี้ของเขา เราก็รู้เรื่องโรคของเราไป เชี่ยวชาญไปคนละทาง ถ้าสองส่วนทำงานด้วยกันได้ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน ยอมรับในความเชี่ยวชาญกันไปคนละด้าน รับรองว่าผลงานออกมาสุดยอดคะ สิ่งที่เขาคิดมาแต่ละอย่างมันทำได้เลยทันที ( ไม่ต้องรอเปิดซองซื้อของ รอว่าเมื่อไรของจะส่งมาจากส่วนกลางหรือจากร้านมาถึงมือเรา รอว่าเมื่อไรจะมีคนออกไปทำให้ ฯลฯ )

กลับมาที่คำถามของน้องนะคะว่าทำไมพี่ถึงมุ่งมั่นทำเรื่อง community based จัง คำตอบง่ายๆคิดว่าอยู่ที่ความสำเร็จของมันนั่นแหละคะ มันสำเร็จจริงๆนะค่ะคือเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน มีความยั่งยืน ประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องใช้คนเยอะๆ (ที่ทำงานพี่มีเอกลักษณ์คือจน และคนน้อยคะ) เราสามารถทำงานได้ครอบคลุมมากมาย โดยที่เราไม่ต้องทำงานหนักเลย เราขยายงานไปได้ไม่จำกัดถ้าชุมชนพร้อมที่จะทำ ไม่ใช่เรามีกำลังอยู่แค่นี้ก็เลยทำได้ที่ละนิดที่ละหน่อยอีก 50 ปีจึงจะครอบคลุมพื้นที่ที่มีปัญหา ก็เราไม่ใช่คนทำนี่คะทำไมต้องรอเราพร้อม ชุมชนต่างหากเป็นคนทำ เราแค่สนับสนุน

เรื่องนี้คงต้องย้อนไปถึงการทำงานตามแนวคิดนี้ในตอนแรกๆ ในช่วงแรกที่ทำงานประเภทนี้ พี่ก็ไม่แน่ใจนะคะว่ามันจะสำเร็จได้ก็ทดลองทำดู คือเริ่มจากการนำเสนอปัญหาและสาเหตุของปัญหาให้ชุมชน (ต้องเสนอให้ถูกคน ถูกกลุ่มด้วยนะคะ) พอชุมชนได้แนวคิดเกี่ยวกับปัญหาของเขาแล้วเขาก็เริ่มคิดเรื่องทางแก้ไขกัน ในช่วงแรกพี่รู้สึกสนุกที่ได้เฝ้าสังเกตกระบวนการที่เกิดขึ้นและวิธีคิดของชาวบ้าน พอคิดได้อย่างเขาก็ไปทดลองทำดูเลย ลองทำเล็กๆดูก่อนเหมือนเราทำในห้องทดลองอย่างไรอย่างนั้นเลยคะ พอพบปัญหา ก็คิดต่อ ทดลองต่อจนในที่สุดเขาได้ข้อสรุปของเขาเองก็ลงมือขยายผลได้เลย ขยายผลแล้วไม่ใช่จบแค่นั้นนะคะ ยังมีการติดตามประเมินผล ถ้าไม่ดีก็หาทางปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือ หาวิธีการใหม่ไปเลย ฟังแล้วไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะ ว่าชาวบ้านความรู้ป.4 แต่ทำงานเป็นระบบ เหมือนวงจรคุณภาพที่พวกเราทำกันในกระบวนการ HA เลย

ในการทดลองกระบวนการนี้ครั้งแรกพี่ไม่ได้เข้าไปรบกวนกระบวนการคิดของชาวบ้านเลย เขาคิดอย่างไรก็ให้เขาทำอย่างนั้น ถ้าถามเราก็บอก แต่ไม่คิดให้เลย ไม่แนะด้วย บางอย่างเห็นว่ามันจะไปไม่รอดจากประสบการณ์ที่เราพบมาก่อน เราก็ไม่บอก ให้เขาลองผิดลองถูกเอาเอง พอรู้ว่าผิดเขาก็หาทางแก้ไข คิดใหม่ไปได้เอง แต่ต่อมาเราไม่ทำอย่างนี้แล้วเพราะมันเสียเวลาชาวบ้าน (ต่อมาทำอย่างไรก็ติดตามต่อไปแล้วกันนะคะ) พี่ว่าการทำงานกับชุมชนมันเป็นศิลป์ค่ะ ไม่ใช่ศาสตร์อย่างที่พวกเราทันตบุคลากรทั้งหลายคุ้นเคยกันมา เราต้องช่างสังเกตละเอียดอ่อนพอกับความรู้สึกของคน และคิดหาทางอยู่ตลอดเวลา พวกเราถ้าทำงานอย่างใช้หัวใจ ใช้หัวคิดอยากทำงานให้สำเร็จพี่ว่าทำได้ทุกคนแหละค่ะ อย่าทำเพื่อเพียงให้ได้ทำ ต้องทำไปคิดไปด้วยนะคะ

“ โครงการดีๆอย่างนี้คิดมาได้ยังไง ” เป็นคำถามที่คนชอบถามพี่เป็นที่สุดเวลาที่พาใครไปดูงาน หรือไปนำเสนองานที่ไหน ไม่ว่าในประเทศ หรือต่างประเทศ โครงการแก้ไขปัญหาโรคฟันในโลกนี้มักหนีไม่ค่อยพ้นการยัดเยียดฟลูออไรด์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้กับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ (เพราะหมอฟันก็คิดได้แค่นี้) พอเราเลิกยัดเยียดโครงการก็จบ ไม่เห็นจะมีใครแสวงหาฟลูออไรด์อีกเลย (ยกเว้นลูกหมอฟันหรือพวกกลุ่มไฮโซขี้ประติ๋วใน กทม. ในชนบทอย่าไปหาเลย)

และพี่ก็อยู่มานานพอจะเห็นได้ว่าโครงการที่พวกเราคิดเหล่านี้ ต้องการการบริหารจัดการหลายอย่าง กว่ากิจกรรมจะเกิดในกลุ่มเป้าหมาย ก็อย่างที่แอบประชดไว้ในในวงเล็บข้างบนนั่นแหละคะ กว่าจะได้ของต้องรองบประมาณมา ต้องรอประมูล รอส่งของ รอบุคลากรว่างลงไปทำให้กลุ่มเป้าหมายอีก สารพัดสารเพ และปัญหาก็เกิดซ้ำๆกัน แก้ปัญหาหนึ่ง ก็ไปเกิดอีกปัญหาหนึ่ง ไม่รู้จบ พี่สรุปเอาเองว่าเป็นเพราะกระบวนการเหล่านี้มัน “ไม่เหมาะสม” แต่โครงการของเราที่พาคนไปดู หรือไปนำเสนอแล้วได้คำถามเหล่านั้น เราไม่ได้เป็นคนคิดนี่คะ ชาวบ้านเป็นคนคิดต่างหาก (ที่จริงเวลาเราพาคนไปดูงานหรือไปนำเสนอ เราก็บอกนะ แต่เขาอาจฟังไม่ดีหรือไม่ใช่ประเด็นที่เขาสนใจ) ตอนหลังเวลาไปนำเสนอตลาดวิชาการ หรือ พาคนไปดูงาน เราก็ให้ชาวบ้านเป็นคนไปนำเสนอ หรือเป็นคนบรรยายสรุปเองเลย ถ้าเป็นต่างชาติ เราก็แปลให้ ถ้าเป็นคนไทย เราก็แค่พาไปดูแล้วนั่งกินขนมฟังไป สบายอารมณ์บอกแล้วว่าทำงานด้วยกระบวนการนี้ สบายค่ะ ไม่ใช้คนมาก แถมใช้งบประมาณน้อยอีกต่างหาก

เล่ามาเยอะแยะน้องๆคงอยากให้เล่าตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมชัดๆว่าโครงการที่เกิดมาจากชุมชนมีตัวอย่างอะไรบ้าง เขามีกระบวนการคิดมาอย่างไร แล้วเรามีกระบวนการในการดำเนินการอย่างไรใช่ไหมคะ ตัวอย่างมีเยอะมากจนเราคิดว่าเราอยากจะทำเป็นหนังสือ ส่งไปให้ชุมชนต่างๆอ่านแล้วเกิดแรงใจอยากทำอะไรให้ชุมชนของเขา เพื่อการมีสุขภาพช่องปากที่ดีของชุมชน โดยไม่ต้องไปนั่งรอให้ทันตบุคลากรลงไปทำให้ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ชุมชนทำได้เองสบายมากอยู่แล้ว เห็นไหมคะความคิดพี่คือลงไปถึงชุมชนเลย ไม่ต้องผ่านทันตบุคลกร พี่ว่าทันตบุคลากรเราพูดยากคะ เข้าใจก็ยากอาจทำงานกับชาวบ้านง่ายกว่า

ตอนนี้มีคนบอกพี่ว่าทันตบุคลกรเราต่างเลิกทำงานชุมชนกันไปหมดแล้ว ต่างกลับเข้าหาการทำงานในคลินิกกันหมดจริงหรือเปล่าคะ ตอบพี่หน่อย


วันนี้ที่ไม่พอแล้ว ตัวอย่างเจ๋งๆรอไปก่อนนะคะ วันนี้ดูรูปกิจกรรมต่างๆที่มาจากความคิดของชาวบ้านไปก่อนนะคะ แล้วพบกันค่ะ


เครื่องกรองฟลูออไรด์ออกจากน้ำสำหรับชุมชนออกแบบและร่วมกันสร้างโดยชาวบ้านสันคะยอม


กระบวนการฝึกเด็กน้อยกินข้าว กินผักที่กลุ่มแม่ช่วยกันคิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเด็กไม่กินข้าว กินแต่ขนม

0 ความคิดเห็น: