นึกว่าจะได้นั่งเขียนบทความนี้ที่บ้านเกิดเมืองนอน แต่แล้วโชคชะตาก็พาผู้เขียนมาติดแหงกอยู่ที่ฮ่องกง กลับบ้านไม่ได้เพราะสนามบินสุวรรณภูมิปิด! คือหลังจากที่บินมาจากแคนาดาได้ 13 ชม. เราแวะจอดฮ่องกงแล้วก็บินออกจากฮ่องกงไปแล้วนะคะ ใกล้ถึงกรุงเทพแล้วแต่กัปตันก็ประกาศว่าเครื่องลงไม่ได้ ให้บินกลับฮ่องกง...แป่วก็รออยู่ที่สนามบิน 3 คืน เพราะเค้าสั่งไว้ให้คอยอยู่แถวนั้น แต่เมื่อวานประกาศว่ายังไงอีก 2 วันนี้ก็ยังกลับไม่ได้ ก็เลยออกมาหาที่นอนในเมืองแทน (อีกอย่างน้อย 2 คืน) ก็ดีที่จะได้หลับให้สนิท เป็นที่เป็นทาง ทานอาหารราคาปกติซักที ที่สนามบินอะไรๆก็แพงไปหมด ใช่แล้วค่ะ ค่าใช้จ่ายออกเองค่ะ ทางสายการบินเค้าออกค่าโรงแรมให้คืนแรกคืนเดียวแล้วก็ให้อาหารอย่างดีอีก 2 มื้อ เท่านี้เค้าก็ดูแลดีมากแล้วเพราะไม่ใช่ความผิดเค้าเลย
ทีนี้....ความผิดใคร.....
มันง่ายมากค่ะที่เราจะชี้นิ้ว โยนความผิดให้รายบุคคลหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นั่นเป็นนิสัยของคนเราเลยก็ว่าได้แต่มันเป็นสิ่งที่เราควรทำหรือไม่นั่นก็อีกประเด็น
มีครูวิชาบริหารสอนไว้ว่า เวลามีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น เราต้องหาสาเหตุ แต่การหาสาเหตุนั้นไม่ได้ทำง่ายๆแค่ถามหาว่า "ใครทำ" จะได้กำจัดไอ้เจ้าคนทำนั้นไปซะ วิธีนี้ง่ายแต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลดีเสมอไปแต่ให้ลองเปลี่ยนคำถามดู ให้ถามว่า "เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร"ถ้าเราลองถามแบบนี้ จะเห็นได้ว่า เราได้ขยายเลนส์การมองปัญหาของเราให้เห็นเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากขึ้นเห็นความซับซ้อนของปัญหามากขึ้น เมื่อเริ่มเห็นภาพลางๆ เริ่มเข้าใจว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องโยงใยยุ่งเหยิงขนาดไหนบ้างถึงภาพจะยังไม่ชัด แต่ใจของเราก็น่าจะเบากว่า ความโกรธเกลียดน่าจะน้อยกว่าการที่เราจะชี้นิ้วไปให้คนใดคนหนึ่ง (อย่าลืมว่ายังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็นอีก ต้องร้องเพลงอื่นๆอีกมากมายของเฉลียงให้ "เผื่อใจไว้ ที่ยังไม่เห็น")
เมื่อความโกรธเกลียดน้อยๆ เราจะๆได้นิ่งขึ้น ค่อยๆคิดไปได้ว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
ถึงยังแก้ไม่ได้ทันที เราก็ได้ทำหน้าที่ที่สำคัญคือ ไม่ทำให้อะไรๆมันเลวร้ายไปกว่าที่เป็น
อ้อ ตอนบินออกมาจากแวนคูเวอร์ ได้ดูหนังเกี่ยวกับชีวิตเด็กผู้หญิงที่โตมาช่วงเศรษฐกิจตกต่ำมากที่สุดในอเมริกา พ่อของเธอต้องออกเดินทางไปต่างเมืองเพื่อหางานทำ สองพ่อลูกนี้ตกลงกันไว้ว่า เวลาเขียนจดหมายหากัน ให้เล่าแต่เรื่องคิดบวก คือให้มองว่าเรามีอะไรอยู่บ้าง ไม่ใช่หาเรื่องบ่นว่าเราขาดอะไรบ้างมีอยู่ฉากนึง เด็กคนนี้มีเรื่องอึดอัดใจที่เพื่อนถูกตำรวจหาว่าเป็นขโมย แต่เธอเชื่อว่าเพื่อนของเธอไม่ได้ทำ สมบัติในบ้านเธอของแม่เธอก็โดนขโมยไปด้วยเธอเขียนจม.หาพ่อไปร้องไห้ไป บ่นน้อยใจชีวิต เขียนว่าคนโน้นคนนี้ว่าทำไมไม่เข้าใจอะไรเหมือนเธอเลยแต่เมื่อระบายทุกอย่างออกมาเสร็จ เธอก็ถอนหายใจ ปาดน้ำตา แล้วก็ขยำกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไปแล้วก็เริ่มเขียนจม.ฉบับใหม่ เล่าเรื่องเดิมนี่แหละ แต่ว่าใช้น้ำเสียงที่สงบและแฝงเรื่องดีๆเรื่องอื่นที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ติดอยู่ที่สนามบินนี้ค่ะ มีทั้งคนที่ใจเย็นค่อยๆแก้ปัญหา มีทั้งคนโวยวาย มีทั้งคนแย่งกันหาตั๋วใหม่กลับภูเก็ต มีทั้งคนยืนร้องไห้ หลากหลายแบบไปหมด ก็อยู่ที่ว่าเค้ามีเรื่องอะไรในใจต้องกังวล แล้วเค้ามองเห็นทางเลือกที่จะแก้ปัญหานั้นอย่างไร เค้ารอได้มั้ย หรือรอไม่ได้ เค้ามองอะไรอย่างที่เป็น หรือคิดปรุงแต่งไปเองอีกมากมาย
ผู้เขียนโชคดีมากที่พุงป่องท้อง 5 เดือน เดินทางคนเดียว เพราะสามียังกลับมาไม่ได้จนกว่าจะสิ้นปี (ใช่ค่ะโชคดี อ่านไม่ผิดแล้ว)เพราะว่ามีแต่คนเป็นห่วง คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ดูแลอย่างดี
คนไทยด้วยกัน มีทั้งสีแดง สีเหลือง สีส้ม แต่เราก็ช่วยเหลือกัน ต่างคนก็ต่างภูมิหลังต่างอาชีพ ต่างอายุต่างเพศ จุดประสงค์ที่ทุกคนช่วยกันคือ ทำยังไงถึงจะได้กลับบ้าน และทำยังไงถึงจะอยู่ที่สนามบินได้โดยไม่ลำบากมากนักคราวนี้ได้เพื่อนใหม่หลายคน เพราะต้องนั่งๆนอนๆรอที่สนามบินด้วยกันหลายวัน เป็นความประทับใจอีกอย่างที่ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้
น่าคิดจริงๆว่า เมื่อเรากลับไปถึงเมืองไทยแล้ว....มีพรรคมีพวก มีคนยุ สีแดง สีส้ม สีเหลืองในตัวมันจะออกมาบังมิตรภาพของเรารึเปล่าอะไรกันแน่ที่ทำให้บ้านเมืองเราเป็นแบบนี้...ไม่ใช่แค่เพราะใครผิด...แต่เพราะใคร (รวมทั้งเราเอง) ทำให้มันมาถึงวันนี้ได้อย่างไร
2 ความคิดเห็น:
ติดตามบทความมานานพอสมควร ขอชื่นชมในแนวคิดที่ถ่ายทอดออกมา ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับจะรับได้เท่าไหร่ ผมได้ข้อคิดดีๆ จำนวนมากจากบทความที่เขียนมาจากใจเหล่านี้ ขอบคุณครับ
ทพ.ภราดร ชัยเจริญ สสจ.จันทบุรี
drkukkai@hotmail.com
089-7478266
อดีตประธานชมรมทันตฯภูธร ก่อนที่จะยกภูเขาให้บานเย็น (รุ่นเดียวกันที่มหิดลครับ)
ผ่านมาปีกว่าเพิ่งเห็น comment ค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ เป็นกำลังใจได้มากเลยค่ะ : )
- มัทนา
แสดงความคิดเห็น