วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สุขสร้างสรรค์กับสสส. : แนวรบด้านสังคมวัฒนธรรมในการสร้างเสริมสุขภาพ


ขอบคุณภาพจาก http://suthichaiyoon.blogspot.com/


โดย ทพ. สุปรีดา อดุลยานนท์

ช่วงนี้หลายๆคนคงมีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ทางการเมืองของบ้านเมืองเรา ส่วนจะเป็นอารมณ์แบบไหน ก็ขึ้นกับมุมมองทางการเมือง ระดับความคาดหวัง รวมถึงประสบการณ์ของแต่ละคน แต่เป็นที่แน่ชัดว่า ความแตกต่างหลากหลายนี้ มีค่อนข้างมากและกว้างขวางกว่าที่บ้านเมืองเราประสบมาก่อน


ถ้าเราก้าวเลยจากการหาข้อยุติในความถูกผิดระหว่างสองขั้วการเมืองที่ยากจะเห็นตรงกันในห้วงขณะนี้ไปก่อน ไปสู่คำถามถึงแบบแผนในการของการจัดการความแตกต่างทางการเมืองของคนไทย (ซึ่งน่าจะเหมือนคนทั้งโลก ที่ไม่มีวันหายไปได้) ประเด็นที่น่าห่วงใยว่า เรากำลังอยู่ในวัฒนธรรมของการจัดการด้วย “รัฐประหาร” หรือ “การนองเลือด” หรือไม่ ? และถ้าแบบแผนดังกล่าวไม่เหมาะสม เราจะเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างไร ?

ดร. บวรศักดิ์ อุวรรโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และอดีตเลขานุการกรรมมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เคยชี้ให้เห็นว่า การปรับเปลี่ยนหรือกระทั่งการปฏิรูปทางการเมืองไม่อาจทำ ได้เพียงแค่การแก้ไขกติกาทางการเมือง หรือการแก้มาตราในรัฐธรรมนูญ หรือการแก้กฎหมายต่างๆเท่านั้น ยังต้องดูแล “ วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเมืองด้วย ” บรรดาพฤติกรรมการเลือกตั้ง ที่เกี่ยวข้องกับระบบอุปถัมภ์ ระบบราชการ ระบบธุรกิจการเมือง ฯลฯ ล้วนมีราก มีเหตุปัจจัยในสังคมไทยอยู่ ถ้าหากเราเห็นว่ามันเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ในปัจจุบันและควรจะต้องปรับเปลี่ยน ก็ต้องหาทางเข้าใจรากเหง้า และเหตุปัจจัยเหล่านั้น และต้องผลักดันกระบวนการทางสังคมของการปรับเปลี่ยน ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่เพียงด้วยวิธีการพื้นๆอย่างการสั่งสอน หรือการออกกติกา มาบังคับเท่านั้น แต่อาจต้องใช้หลากหลายวิธีการร่วมกัน ภายใต้พื้นฐานของความเข้าใจสิทธิที่จะเลือกจุดยืนทางการเมืองของแต่ละปัจเจกชน แต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชน และแน่นอนเช่นกันว่าการเปลี่ยนแปลงระดับนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงสั้นๆ

การสร้างเสริมสุขภาพเผชิญกับสถานการณ์ไม่ต่างกันนัก เมื่อครั้งเริ่มมีการก่อขบวนการ “เด็กไทยไม่กินหวาน” ขึ้น คนในขบวนการเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไม่ได้มีมิติการทำงาน จำกัดอยู่เพียงแค่การที่บุคลากรในวิชาชีพจะมาให้ความรู้ทางสุขศึกษากับคนไทยที่ยังมีพฤติกรรมบริโภคอาหารหวานล้นเกินอยู่เท่านั้น แต่ยังมีมิติที่จะต้องปรับเปลี่ยนค่านิยมของสังคมที่ยังมองความหวานเป็นด้านบวกรสชาติและของชีวิต รวมทั้งการปรับเปลี่ยนกติกาสังคมที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น จึงมีการเคลื่อนไหวให้มีกระบวนการผลักดันนโยบายเอาน้ำตาลออกจากนมผงสูตรต่อเนื่อง นโยบายโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม ฯ และสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ การรณรงค์ทำให้สังคมไทยมองน้ำตาลว่า ไม่ใช่อาหารอันแสนหวาน อันเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความรัก อีกต่อไป แต่ให้เจือด้วยสายตาที่มองอย่างระแวดระวังถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่



อีกตัวอย่างที่อาจศึกษาควบคู่กันไป คือการรณรงค์ให้คนไทยลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง ซึ่งก็ต้องวางยุทธศาสตร์หลากหลาย อย่างคร่าวๆ ต้องมีทั้งในด้านการผลักดันนโยบาย ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรมการดื่มของคนไทย การผลักดันนโยบาย อย่างเช่น การผลักดัน พรบ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับแรกของประเทศที่เพิ่งผ่านออกมาหลังการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มข้นและยาวนาน รวมไปถึงการผลัก ดันมติ ครม. มติมหาเถรสมาคม ตลอดจนถึงนโยบายระดับท้องถิ่นและองค์กรมากมาย แนวรบด้านสังคมวัฒนธรรมมีทั้งการดึงค่านิยมการดื่มที่มีอยู่เดิม ร่วมกับที่ถูกการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ลงทุนกว่าปีละสองพันล้านบาทไปขยายอัตราการดื่มจนพุ่งทะยานในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เช่น กระเช้าของขวัญปลอดเหล้า สงกรานต์สนุกได้ไร้แอลกอฮอล์ ทอดกฐินปลอดเหล้า รับน้องปลอดเหล้าฯ ไปจนถึงการดึงเอาทุนทางวัฒนธรรมของการงดเหล้าที่สังคมไทยดั้งเดิมมีอยู่ และเริ่มเลือนหายไป อย่างการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา หรือการแสดงพิษภัยต่อสังคมของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างการแสดงผลกระทบด้านดื่มแล้วขับ ด้านเศรษฐกิจและ ความยากจน (จน เครียด กินเหล้า) หรือด้านความรุนแรงในครอบครัวและต่อเด็กเยาวชน เป็นต้น

แนวรบด้านสังคมวัฒนธรรมไม่เพียงเป็นการทำงานอีกด้านที่เป็นอิสระต่อเรื่องนโยบาย แต่ยังมีปฏิสัมพันธ์ตรงต่อการสร้างความพร้อมของสังคมในการกำหนดนโยบาย หรือกติกาสังคมนั้นๆออกมาด้วย ไม่ว่าในระดับหมู่บ้าน ชุมชน นักเคลื่อนไหวต้องทำงานด้านความคิด ด้านคุณค่า กับผู้คนในหมู่บ้านอยู่นาน กว่าจะเกิดกรณีหมู่บ้านปลอดการขายเหล้าหลายร้อยหมู่บ้าน งานศพปลอดเหล้าที่ลำปาง , การแข่งเรือปลอดเหล้าที่น่าน , สงกรานต์ถนนข้าวเหนียวปลอดเหล้าที่ขอนแก่น ฯ หรือในระดับประเทศ ผมได้เข้าไปศึกษาหลายประเทศในยุโรปที่มีความเข้มแข็งด้านนโยบายควบคุมแอลกอฮอล์ที่ต่างกัน ประเทศที่มีนโยบายเข้มแข็งและเกิดผลต่อการลดการดื่ม

และผล กระทบของการดื่มชัดเจนที่สุดประเทศหนึ่งคือ ฝรั่งเศส เมื่อเจาะลึกลงไปว่าทำไมประเทศนี้จึงเกิดนโยบายที่เข้มแข็งได้ทั้งที่เป็นประเทศส่งออกไวน์ที่สำคัญ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่าง อังกฤษ สก๊อตแลนด์ ไอร์แลนด์ฯ ที่ผลเรื่องนี้อยู่ในทิศทางตรงข้าม ก็พบว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่เรื่องการปรับเปลี่ยนผ่านการรองรับของพื้นฐานทางครอบครัว ศาสนา และวิถีการผลิตไวน์ฝรั่งเศส เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์อื่น

ในทางกลับกัน นโยบายหรือกติกาสังคมที่เกิดขึ้นมาใหม่ ก็มีผลต่อการไปปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพ และต่อเนื่องไปถึงคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนด้วยเช่นกัน สังคมหนึ่งๆมีการดำรงอยู่และมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัตรเสมอ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดนิ่งเหล่านี้ มีทั้งเกิดโดยการไหลเลื่อนตามธรรมชาติ และทั้งจากการ “ถูกกระทำ” โดยปัจจัย เงื่อนไข และกลุ่มต่างๆ ดังนั้น การสร้างสุขภาวะ การสร้างประชาธิปไตย หรือการจะพยายามสร้างสิ่งที่ดีงามใดๆ ล้วนต้องการความเข้าใจ และการจัดวางปัจจัยป้อนเข้า และปฏิสัมพันธ์กับ สังคมอย่างเหมาะสมลงตัว แล้วค่อยๆเรียนรู้การตอบรับของสังคมที่เสมือนมีชิวิตนั้นอย่างเคารพ


อ่านวารสารทันตภูธรเล่ม 4 ปี 51 ต่อ click บทความที่เก่ากว่า

0 ความคิดเห็น: