ผมได้รับบทความอย่างยาว คุณหมออติศักดิ์ จึงพัฒนาวดี จากคณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีมิติมุมมองเชิงมานุษยวิทยาและมีมิติเชิงสังคมที่น่าสนใจยิ่ง ในบทความอย่างยาวนี้ ตอนท้ายๆมีเรื่องราวที่อ่านแล้วสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นเสมอในการทำงาน เมื่อวิชาการที่เรายึดถือขัดแย้งกับมุมมองความต้องการของผู้ป่วย แล้วเราจะตัดสินอย่างไร ลองตอบกรณีศึกษาข้างล่างนี้ แล้วเราจะรู้ว่า เรามีกรอบความคิดอย่างไร เราเป็นคนแบบไหน เราเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลม
บังเอิญวันก่อนผมไปเฝ้าคลินิก เจอคนไข้หนุ่มใหญ่อายุสัก 30 จะมาใส่ฟัน ฟันหน้าซี่ #11 หลอไปนานแล้ว แกมากับเพื่อน หน้าตาเนื้อตัวก็ตามมาตรฐานชาวบ้านต่างจังหวัด คุยกันได้ความว่าเคยไปใส่กับหมอชาวบ้าน (อีกแล้ว) แต่มันหักไป ก็ตกลงกันเรียบร้อยว่าคงจะต้องอุดฟันก่อน เพราะซี่ 12 ข้างๆถูกบากไว้เป็นรอยเล็กๆจากหมอชาวบ้าน (คงทำไว้ให้เป็น retention สำหรับฟันปลอม) คุยไปคุยมา ตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรต่อมิอะไรเสร็จ แก OK ดี ก่อนจะลงมือ ผมบอกแกว่า “ เดี๋ยวหมอจะพิมพ์ปาก แล้วสัก 2 วันจะนัดมาใส่ฟันนะครับ ” เท่านั้นแหละ พี่ทำหน้างงสุดขีด “ อ้าวหมอ..ผมนึกว่าจะได้ใส่เลยซะอีก ”“ ไม่ได้หรอกครับ เพราะ……” ผมก็อธิบายไปตามเรื่องตามราวเท่าที่ได้เรียนมา ว่าฟันปลอมที่ดีและถูกต้องนั้นจะต้องทำอย่างไรบ้าง และต้องใช้เวลานานที่ไม่อาจจะใส่ได้ภายในครั้งเดียว สุดท้ายเพื่อนแกเลยเฉลยว่า“ ไม่ได้หรอกหมอ ไม่ใส่วันนี้ไม่ได้ เพราะมันนัดสาวเย็นนี้ ขืนหลอไป แห้วแน่ ”ผมผิดรึเปล่าที่หลังจากฟังเหตุผลเค้า และนั่งจับเข่าปรึกษาหารือกับคนไข้ตามประสาชายหนุ่ม 3 คน ว่าจะทำยังไงดี แล้วสุดท้ายมันดันได้ข้อสรุปที่ผมเสนอให้แกไปว่า “ผมว่าสงสัยพี่ต้องกลับไปทำกับหมอชาวบ้านแล้วล่ะมั้ง ”
เรื่องเล่าจากทันตแพทย์เรื่องนี้บอกอะไรกับเราบ้างคุณหมออติศักดิ์ เขียนไว้อย่างน่าสนใจ ในตอนท้ายของคอลัมน์ว่า
เรื่องเล่าเรื่องนี้กำลังบอกกับเราว่าชีวิตไม่ใช่เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางชีววิทยา และสุขภาพมิใช่เป็นเพียงความสมบูรณ์พร้อมทางกาย ชีวิตและสุขภาพไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องราวของโลกทางกายภาพ หากแต่เป็นเรื่องที่แนบแน่นอยู่กับโลกแห่งวัฒนธรรม บุคลากรสาธารณสุขในฐานะเป็นวิชาชีพที่ต้องเกี่ยวพันกับอยู่กับชีวิตและสุขภาพอย่างแนบแน่น จึงควรที่จะอ่อนน้อมพร้อมเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจความซับซ้อนนั้น แน่นอนว่าความเป็นศาสตร์แห่งวิชาชีพ อันประกอบขึ้นด้วยมุมมองแบบหยุดนิ่ง สากลนิยม และเป็นภาวะวิสัยอันเป็นกรอบในการทำความเข้าใจโรค เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ “ความถูกต้อง” และ “แม่นยำ” ในแง่วิชาการของการบำบัดรักษา และผมก็ไม่ได้เสนอให้ละทิ้งกรอบอันนี้เสียโดยสิ้นเชิง เพราะกรอบความคิดใด ๆ ต่างก็มิใช่ปัญหาในตัวของมันเอง หากแต่การยึดมั่นถือมั่นในกรอบความคิดใดความคิดหนึ่ง ว่าเป็นวิถีทางเดียวในการทำความเข้าใจโลก ชีวิต และสุขภาพ ต่างหากที่ก่อให้เกิดปัญหา สิ่งที่บทความนี้อยากทำก็เป็นเพียงแค่เรียกร้องให้เราตระหนักถึง กรอบที่กำกับการมองของเราอยู่ และเรียนรู้ที่จะทะลุกรอบหรือถอดแว่นนั้นออกบ้างในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราก้าวล่วงเข้าไปเกี่ยวข้องกับมิติของชีวิตและสุขภาพ ซึ่งจะสามารถทำความเข้าใจได้ก็ด้วยการมองผ่านแว่นตาอีกชนิดหนึ่งเท่านั้น
การทะลุกรอบความคิดเดิมเพื่อความเข้าใจในเรื่องสุขภาพ จึงมิใช่การละทิ้งหรือการปฏิเสธกรอบเดิม หากแต่เป็นการแสวงหาความสมดุลของวิถีในการมอง
เรามักจะกล่าวกันอยู่เสมอๆอย่างภาคภูมิใจว่า การทำงานด้านสาธารณสุขนั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ความเป็นศิลป์ที่น่าภาคภูมิใจของเราในทัศนะของผมนั้น น่าจะหมายถึงความมีศิลปะที่จะทำความเข้าใจมนุษย์และสามารถทำงานที่เกี่ยวข้องกับคนอย่างเข้าใจถึงความมีชีวิตจิตใจและมองเห็นถึงความแตกต่างๆระหว่างคนแต่ละคน ความเป็นศิลป์จึงหมายความถึงการที่เรามีศิลปะในการสามารถเคลื่อนไหวไปมาระหว่างกรอบต่างๆ อย่างไม่ยึดติดอยู่กับกรอบใดกรอบหนึ่งอย่างตายตัว อันจะนำไปสู่ความเข้าใจในความหมายของ “สุขภาพ” ได้อย่างลึกซึ้งในที่สุด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น