
สมมติว่าคุณมีลูกกำลังแบเบาะ บังเอิญวันนี้อยู่บ้านกันแค่ 2 คนคือคุณกับลูก ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าๆแล้ว เพื่อนของคุณโทรมาบอกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายให้ช่วยด่วน โดยที่บ้านของเพื่อนอยู่ห่างจากบ้านของคุณประมาณ 5-6 กิโลเมตรได้ คุณเป็นห่วงเพื่อนมาก ต้องขับรถไปหาเท่านั้นถึงจะช่วยเค้าได้ … ขอถามว่า ... คุณจะปลุกลูกแล้วอุ้มลูกใส่รถไปด้วย หรือทิ้งลูกให้นอนหลับต่อที่บ้าน
คนส่วนใหญ่จะตอบว่า แน่นอนฉันจะอุ้มลูกใส่รถไปด้วย ให้อยู่ใกล้ๆตา ถ้าทิ้งไว้ที่บ้านก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไปด้วยกันดีกว่า
แต่ถ้าจะดูกันตามสถิติแล้ว ความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนกลางดึกนั้นมากกว่าหลายเท่านัก เวลาเรานอนอยู่ในห้องกับลูก ลูกก็นอนของลูกในที่ที่จัดไว้อย่างปลอดภัย เราเองก็หลับ ความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อลูกในการที่จะให้ลูกหลับต่อไปนั้นจริงๆแล้วน้อยกว่าการที่จะให้ลูกไปอยู่ในรถซิ่งกลางดึกแน่นอน ... แต่ ... ใครเล่าจะปล่อยลูกทิ้งไว้แบบนั้น นี่แหละคือความแตกต่างของ คน และ หุ่นยนต์ เมื่อต้องประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจทำอะไร
สถานการณ์สมมติที่เล่ามาข้างต้นนั้นผู้เขียนไปอ่านเจอมาจากบทความของฝรั่งชื่อ Dustin M. Wax* อ่านแล้วก็มีความรู้สึกหลายอย่างคละเคล้าปนๆกันไป ไม่ได้เห็นคล้อยตามหมด มีแอบเถียงในใจเล็กน้อย แต่สิ่งที่เค้าเขียนก็ทำให้เราได้ฉุกคิดว่า เออ...มันก็น่าคิดนะ แล้วนี่ทำไมเราถึงรู้สึกอย่างที่เรารู้สึก (โดนฝรั่งจุดประกายมาเลยขอมาจุดต่อในทันตภูธรอีกทอดหนึ่ง!)
เค้าสรุปไว้ว่า คนเราชอบหลอกตัวเองว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ชอบคิดว่าเราเองนี่แหละจะเป็นตัวแปรสำคัญในการแก้ปัญหา แต่ถ้าลองพิจารณาดูดีๆ การตัดสินใจแบบนั้นมันก็แค่ทำให้เราสบายใจที่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่เราเองอาจจะทำอะไรไม่ได้ หรือ สิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไปนั้นมันอาจจะยิ่งไปทำให้เกิดอันตรายมากเข้าไปใหญ่ แต่ที่คนเราเป็นแบบนี้ก็เพราะเราใช้อารมณ์ความรู้สึกมาช่วยในการตัดสินใจซะมาก ไม่ได้ใช้สถิติความน่าจะเป็นมาประเมินความเสี่ยง มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป คนเราเก่งนักที่จะทำเป็นไม่เห็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญๆ แทนที่จะคุ้ยมันออกมาเพื่อจัดการกับมัน กลับชอบปกปิด ชอบหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร
ที่ฝรั่งเค้าเขียนบทความนี้เพราะเค้าโยงไปถึงเรื่องเศรษฐกิจล่ม โดยเฉพาะปัญหาการใช้บัตรเครดิตและการให้สินเชื่อที่เกินตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงมีอยู่ให้เห็นต่อหน้า แต่น้อยคนนักที่จะยอมรับและคาดการณ์ได้ว่าผลมันจะออกมายับเยินแบบนี้
เพราะฉะนั้นทางออกที่เค้าแนะนำคือ ก่อนอื่นให้ยอมรับว่ามนุษย์ปุถุชนเราเนี่ยะ เป็นนักประเมินความเสี่ยงที่ห่วยมาก จงอย่าหลอกตัวเองอีกต่อไป แล้วก็มองให้ออกว่าสถานการณ์ไหนมีความไม่แน่นอนสูง สถานการณ์ไหนพอคาดการณ์ได้ ให้เข้าใจว่าอะไรกันแน่ที่เราควบคุมได้ แล้วอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น การเล่นไพ่โปกเกอร์ เราเลือกไพ่ไม่ได้ เราไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้จะมาไม้ไหน แต่เราควบคุมสีหน้าเราไว้ได้ ความเสี่ยงที่เราจะเสียหายก็น้อยลง (อันนี้เป็นตัวอย่างทางโลก) ฝรั่งเค้าเขียนต่อไปถึงเรื่องการตัดสินใจเลือกลงทุน การซื้อขายหุ้นและเรื่องทางโลกอีกมากมาย เค้าบอกว่าอย่าไปพยายามกำจัดความไม่แน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ปล่อยทุกอย่างไม่วางแผนอะไรเลย ให้หาทางเลือกไว้หลายๆทาง ตันทางนี้ก็ไปทางอื่น แล้วก็อย่าประมาท ให้มีเงินออมที่เผื่อไว้วันลำบากเสมอ ให้หาข้อมูลสอบถามจากหลายๆแหล่งก่อนตัดสินใจ แล้วก็ให้ใช้ชีวิตแบบเสี่ยงบ้างไม่เสี่ยงบ้างกระจายกันไป (คำพังเพยฝรั่งเค้าว่าไว้ว่า จงอย่าวางไข่ไก่ที่คุณมีไว้ในตระกร้าเดียวกันหมด) แต่ที่ผู้เขียนอยากเล่าสู่กันฟังมากที่สุดนั้น คือ บทสรุปส่งท้ายที่เค้าเขียนไว้ว่า
ให้เห็นคุณค่าของความไม่แน่นอนในชีวิต ให้มองว่าความไม่แน่นอนเป็นสิ่งสวยงาม เพราะมันจะทำให้ความสำเร็จที่ได้มีค่ามากขึ้น มันทำให้เราพยายามมีสติ ไม่ประมาท รู้เท่าทันและทำให้เราพินิจพิจารณาเหตุปัจจัยต่างๆในชีวิตได้จนเห็นความจริง ไม่หลงไม่หลอกตัวเองอีกต่อไป ….เอ...นี่มันธรรมะชัดๆ
* http://www.lifehack.org/articles/management/luck-accidents-and-the-mistaken-sense-of-control.html
ปล. ขอแสดงความยินดีกับการเริ่มต้นชีวิตการทำงานของน้องๆทันตแพทย์และทันตาภิบาลจบใหม่ทุกคนนะคะ การเริ่มอะไรใหม่นั้นแน่นอนว่า มันไม่คุ้น เราอาจจะเกร็งและเกรง หรือแม้กระทั่งกลัวในความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะเจออะไร (อะ เข้าเรื่อง) แต่ให้ลองสังเกตดูว่า เราจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ที่จะปรับตัว ให้น้องๆจำความรู้สึกช่วงแรกนี้ไว้ ให้เห็นคุณค่าของความสดความใหม่ ความไม่รู้ว่าจะเจออะไร ความไม่แน่นอนนี่แหละ จำไว้เลย เมื่อเวลาผ่านไปงานลงตัว เริ่มคุ้นเคยสิ่งแวดล้อม เริ่มเนือย ให้น้องๆเรียกความรู้สึกวันนี้กลับมา อย่าทำงานด้วยรีเฟล็กซ์จากไขสันหลัง แต่ให้ใคร่ครวญพินิจพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเสมอ มีงานเข้าเพิ่มก็อย่าคิดว่าชีวิตเราลงตัวแล้ว ไม่อยากให้มีเรื่องอื่นเข้ามาทำให้รวน ให้เก็บความกระตือรือร้นปนความกลัวนิดๆแบบนี้ไว้ต่อไปนะคะ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น