ค คน ในครอบครัว ฟ ฟัน นัยความสัมพันธ์และความสุข….
โดย... หมอฟันไทด่าน
ผมเชื่อของผมโดยสนิทใจว่าสังคมไทยขับเคลื่อนด้วยความสัมพันธ์
อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในวงการทันตฯ บ้านเราที่เคารพนับถือกัน เคยบอกกึ่งสอนว่า ต้องเอา “คน” ด้วย ไม่ใช่เอาแต่ “งาน” เพราะถ้าเอาแต่งาน นอกจากส่วนใหญ่ไม่ได้ “งาน” แล้วบางทียังเสีย “คน” อีก หากได้ใจได้คน เดี๋ยวงานก็จะตามมาเอง ได้ใจ มีใจ เดี๋ยวเขาก็อยากช่วย อยากทำ
ผมว่าหลายคนคงเคยเป็น ใครสักคนที่เราชื่นชมศรัทธา ชวนมาร่วมทำอะไรสักอย่าง บางทีแค่รับฟังคำชวน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะให้ทำอะไร แต่เราก็เผลอตัว เผลอใจ รับปากตกลงโอเคไปก่อนแล้ว
สมัย HA ไม่มีบันได 3 ขั้นให้ไต่ เมื่อก่อนเท่าที่รู้ ขั้นตอนพัฒนามันมีมากกว่า 3 ในหนังสือเล่มหนาประกอบการอบรมทีม FA เมื่อปี 46 จำได้แม่นว่า มันมีขั้นตอนแรกๆ ที่ว่าด้วยการ “ ได้ใจ -- (แล้วก็) – สร้างทีม ”
แทบเกือบทุกคนแล้วกระมังครับ ที่ได้เรียนรู้เครื่องมือ 7 ชิ้น 7 มหัศจรรย์ของอ.หมอโกมาตร เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาชุมชน ซึ่งปรับมาจากเครื่องมือการเรียนรู้ทางมานุษยวิทยา ผมเคยชวนน้องๆ ทั้งวงนักศึกษาทันตแพทย์ฝึกงานกับน้องๆ จบใหม่ที่มาใช้ทุนที่จังหวัดคุยกันเรื่องนี้ คุยกันว่าโอกาสในการลงชุมชน ของเราเห็นทีจะยากสักหน่อย ด้วยมีภาระ หนักหนาเรื่องการรักษา ตั้งรับในโรงพยาบาล แต่เครื่องมือแบบนี้ ใช่ว่าจะมีประโยชน์แค่การเอาไปใช้นอกโรงพยาบาลเวลาออกไปในชุมชนเท่านั้น เพราะหากเรานิยาม Setting ชุมชนกันใหม่ บางทีทันตบุคลากรในฝ่าย เราก็น่าจะนับได้เป็นชุมชนย่อมๆ ชุมชนหนึ่ง กับคำถามง่ายๆ ว่า ชุมชนแห่งนี้มีคุณค่าพอที่จะศึกษาเรียนรู้หรือไม่ ? หากคำตอบคือ “ใช่” คำถามที่ตามมาก็คงมี เรารู้จักชุมชนเล็กๆ และแสนใกล้ตัวเรานี้ ดีพอหรือยัง ?
หลายคราวแม้ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจ ขนาด in depth interview เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก แต่หากบรรยากาศเป็นใจ การได้พูดคุยกับคนในครอบครัวทันตฯของเรา ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น บางทีความรู้สึกอะไรบางอย่างในใจเราอาจเปลี่ยนไป เอากันง่ายๆ แค่เครื่องมือประวัติชีวิตตัวเดียว ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม หากใส่ใจเอามาใช้งาน มันก็พอทำให้เห็นที่มา-ที่ไปและเหตุการณ์อะไรๆ ในชีวิตที่คนๆ หนึ่งผ่านพบประสบพบเจอมาพอสมควร หรือพูดให้ดูโหดร้าย--ชีวิตเขาถูกกระทำอะไรมาแล้วบ้าง บางครั้งหากฟังมากพอ เราอาจเกิดพุทธิปัญญา จนกล้าพูดได้ว่าเข้าใจกันมากขึ้น ความเข้าใจนี้ล่ะครับ ที่มีอำนาจอธิบายพฤติกรรมบางอย่างของคนในครอบครัวทันตฯ ของเราได้ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ไม่ค่อยน่ารักสักเท่าไหร่ ซึ่งยิ่งเกิดมากเท่าไหร่ (ทั้งในแง่ปริมาณและความรุนแรง) ก็ยิ่งเรียกร้องความเข้าใจมากเท่านั้น หากเอาคำพระมาอ้างเพื่อเพิ่มความขลัง ก็พอพูดเป็นคำไทย (ขออนุญาตไม่ใช้บาลี) ได้ว่าเห็นสายธารแห่งเหตุปัจจัย มีสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิด อดีตเป็นมาเยี่ยงนั้นปัจจุบันจึงเป็นเยี่ยงนี้ หรือเทียบเคียงกับหลัก cause effect ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่ผมคิด(เอาเอง) ว่าวิทยาศาสตร์ มีข้อจำกัดในการทดสอบหาปัจจัยทีละหลายๆ ตัว เพราะต้องการรู้ว่าผลเฉพาะปัจจัยเป็นหลักหรืออย่างมากก็ไม่กี่ปัจจัย แต่ชีวิตละเอียดซับซ้อนกว่านั้น ผลของมันส่วนมากเกิดจากการกระทำของ multi-factors เป็นส่วนใหญ่
สรุปแบบดื้อๆ ตรงนี้ คงพอได้ว่า ชีวิตต้องการการเรียนรู้และเข้าใจแบบ Retrospective จะมามักง่าย ดูกันประเดี๋ยวประด๋าว แบบ cross sectional แบบนั้นมันโหดร้ายเกินไป ใครบางคนจึงว่าไว้ อย่าตัดสินคนจากเหตุการณ์ๆ เดียว
ซึ่งความเข้าใจแบบนี้ ไม่ใช่แค่เข้าใจ และยอมจำนน และก็ปล่อยๆ ไป เพราะอย่างไรเราต้องเชื่อร่วมกันเสียก่อนว่ามนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ (แต่ในระดับที่ต่างกัน) การเปลี่ยนแปลงพัฒนาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ ผมคิดว่าการที่เรายึดโยง-ดูแล-ผลักดัน-ปฏิสัมพันธ์กับทุกคนในฝ่าย หากยิ่งในมุมของหัวหน้าฝ่าย (หรือแม้ไม่ใช่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์) เราต้องมองคนให้ลึก อะไรที่เขาพึงใจ อะไรเขารังเกียจเดียดฉันท์ เขากำลังคิด-ฝัน ให้ความสำคัญถึงสิ่งใด บางคนครอบครัวมาเป็นที่หนึ่ง บางคนมีกิจการร้านค้าครอบครัวต้องใส่ใจช่วยเหลือดูแล หนุ่มสาวฝันหวานถึงการสร้างครอบครัวใหม่ หรือบางคนกำลังก่อร่างสร้างฝันกับบ้านเล็กๆ สักหลัง ฯลฯ
หากจะแลกเปลี่ยนกันต่อ เท่าที่ผมเพิ่งนึกออกว่าได้ใช้ไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจนัก นอกจากประวัติชีวิต... ผังเครือญาติก็จำเป็น เพราะยังไงมันก็เชื่อมๆ โยงๆ กันอยู่ การได้พบปะ พบเจอพ่อแม่ ลูกผัว จนแม้แต่โยงใยไปถึงปู่ย่าตายาย-บรรพบุรุษ แถมถ้าได้เห็น-สัมผัส กันถึงบ้าน เห็นบรรยากาศแวดล้อมการหล่อหลอม-เติบโตยิ่งดีใหญ่ มันช่วยเติมเต็มความเข้าใจให้มากขึ้น นอกจากนั้นคนข้างๆ กาย ยิ่งจำเป็นต้องรู้จัก ยิ่ง “ว่าที่” ยิ่งจำเป็นใหญ่ ใครมีผู้สาว ผู้บ่าวที่ไหน เราต้องส่งสายไปถามไถ่ สืบเสาะ (สำหรับใครที่แต่งงานแล้ว ผมว่ารู้กันดีอยู่แล้วว่า สุข-ทุกข์หลังจากนั้น มันขึ้นอยู่ตรงการเลือกตอนแรกนี้แหล่ะ) ว่าที่คู่ครองที่ฝ่ายส่วนใหญ่มักถูกรับเชิญให้มาเปิดตัว เพื่อประเมิน คัดกรอง ความเสี่ยง จนบางครั้งต้องมีการประชุมลับผู้อาวุโสของฝ่าย เพื่อส่งสัญญาณจราจรไฟเขียว-ผ่านตลอด เหลือง-ดูกันดีๆ ก่อน หรือแดงแบบว่าอย่าไปเอามันเลย แต่ต้องเข้าใจอันหนึ่งนะครับ อะไรแบบนี้ ต้องดูบริบทกันดีๆ เพราะที่ทำได้ เพราะฝ่ายผมอยู่กันเป็นครอบครัวมานาน ส่วนใหญ่เด็กๆ ก็ไม่ค่อยปฏิเสธความปรารถนาดี รับฟังและเข้าใจว่าไม่ถือเป็นการจุ้นจ้านเกินไป (มั้ง)
หลายคนเชื่อว่าการงานและเรื่องส่วนตัวแยกจากกันได้ แต่ผมขออนุญาตเห็นต่าง ยกตัวอย่างแค่เรื่องหัวใจ เคยมีลูกน้องอกหักไหมครับ (หรือบางคนบอกว่าเคยเจอกับตนเอง) สภาพอย่างนั้น อย่าว่ากะจิตกะใจจะทำงานเลย แค่พลังใจในการหายใจ...มีชีวิตต่อไป บางครั้งก็ขาดแคลน
จำได้เลาๆ ว่าน้องที่จบจากจุฬา เคยเล่าให้ฟังว่า ในปัจฉิมนิเทศ อาจารย์คณบดีได้ชวนคุยและถามถึง 5 Years planning --แผนชีวิต 5 ปี ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับ สำหรับใครมีได้ก็ดี แต่หากไม่มี ก็คงไม่ได้ไปคิดเค้นเพราะไม่ได้ผิดบาปอะไร เข้าใจได้ว่าสนุกๆ ลุ้นๆ กับการจัดการเหตุการณ์เฉพาะหน้า...แบบลุยไปข้างหน้า แล้วค่อยว่ากันมากกว่า แต่สำหรับผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริหารจัดการ (ซึ่งก็อาจไม่ใช่แค่หัวหน้าฝ่ายอีกนั่นแหล่ะ )การรับรู้ plan เหล่านี้ เห็นทีจะเป็นสิ่งจำเป็น ใครจะลาออก ลาเรียน โยกย้าย แต่งงาน ท้อง บวช ฯลฯ ยิ่งต้องรับรู้ใส่ใจ นอกจากรับรู้ว่าเขากำลังให้ความสำคัญกับอะไร ยังจะได้เตรียมใจ เตรียมการรับมือได้ถูก ก่อนที่มันจะประเดประดังถาโถมเข้ามาจนรับมือไม่ไหว...แบบว่าถ้าทีมแหว่งไปเกือบทั้งฝ่าย คนที่เหลืออยู่จะเป็นอยู่กันอย่างไร ไม่ให้ทุกข์นัก คงเป็นโจทย์ท้าทายที่ต้องใคร่ครวญ และควรจัดการเสียก่อนมันมาประชิดตัว ใครทำงานกับผมเลยจะต้องถูกตั้งคำถามให้รำคาญใจเล่นเป็นระยะว่า plan ชีวิตไว้อย่างไร ถือเป็นการกระตุ้นให้คิดวางแผนอีกทาง
เลยไปจากรับรู้ เข้าใจ ก็คงถึงการเอาใจใส่ดูแล เอื้ออาทรถามไถ่ ไล่แต่เจ้าตัวเลยไปถึงคนรอบๆ ที่เป็นที่รักของเขา ลูกไปเรียนหนังสือแดนไกล พ่อป่วยเป็นไต แม่เป็นเบาหวาน ฯลฯ เป็นอย่างไรกันบ้าง จริงๆ มันคงไม่ใช่อื่นไกล หากเรานับเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน คนข้างๆ เพื่อร่วมงานเราเหล่านั้น ล้วนประดุจคนในครอบครัว การใส่ใจกันเป็นการสร้างพลังของทีม และเมื่อโจทย์การงานท้าทายหากไม่สูงส่งเกินไป ทีมเราก็จะฝ่าฟันผ่านไปได้แบบไม่เจ็บตัวมากนัก
เลยจากคนในฝ่าย การทำงานอื่นๆ โดยเฉพาะเชิงรุกล้วนอาศัยความสัมพันธ์ อย่างผมตั้งโจทย์ไว้ในใจแต่แรกว่าทำอย่างไรก็ได้ให้คนด่านซ้ายมีสุขภาพช่องปากที่ดี หนึ่งในสิ่งพึงทำคือการสร้างสัมพันธ์สร้างเครือข่าย งานโรงเรียนประถมฯ ของอำเภอ ซึ่งตอนนี้พอจะพูดได้บ้างว่าสำเร็จตามสมควร ล้วนใช้พลังความสัมพันธ์กับครู—โดยเฉพาะครูอนามัย แม้ไม่ใช่คน high profile style ชอบ present แต่ในเวลาเดินตลาด บางครั้งดูผ่านๆ เหมือนผู้แทนออกหาเสียง ไหว้กันไปตลอดทาง ทำจนเป็นนิสัย ด้วยตระหนักแล้วว่าล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้สำเร็จในการงาน อันจะส่งผลดีแก่คนทั้งอำเภอ ...ซึ่งมากไปกว่าหมอฟัน มันแถมพ่วงต้องทำหน้าที่ district oral health manager ของอำเภอ
ผมเคยพูดกับใครสักคนว่าการจัดการความสัมพันธ์ ซึ่งยึดโยงกับการบริหารระยะห่างให้พอดิบพอดี เป็นศิลปะขั้นสูง ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาและตลอดชีวิต ความเข้าใจในกันและกันอย่างเพียงพอ น่าจะเป็นปัจจัยนำเข้าสำหรับกระบวนการนี้ แค่พอเอาอยู่ ไม่ต้องถึงขั้นขึ้นชั้นเทพ ผมว่ามันเชื่อมโยงกับความสำเร็จของงาน และคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยึดโยงกับชีวิตเราทั้งชีวิต ความสัมพันธ์ดี การงานดี ชีวิตน่าจะมีความสุข
...ผมเชื่ออย่างนั้นนะ...
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น