วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สุขสร้างสรรค์ จาก สสส. : จากคนสู้โลก สู่คนเพื่อโลก

โดย ทพ. สุปรีดา อดุลยานนท์

ในโลกปัจจุบันที่หมุนตัวเร็วจี๋ ด้วยแรงขับดันของทุนนิยม วัตถุนิยม ให้ผู้คนแหวกว่ายไปกับกระแสที่ต้องดิ้นรน และถีบทะยานพัฒนาเพื่ออยู่รอด เพื่อเอาชนะการแข่งขันที่เหี้ยมโหด ไปจนถึงเพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุดของทะเลกิเลสที่สัตว์โลกอย่างมนุษย์เท่านั้นจะสร้างขึ้นมาได้

ในกระแสหลักของโลกเช่นนี้ ยังมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ทุ่มเทอุทิศชีวิตของตัวเองดูแลความทุกข์ยากของคนอื่น ใช้ความปิติที่เห็นผู้อื่นลดทุกข์เป็นเชื้อเพลิงหล่อลื่นชีวิตที่เขาให้ความหมายแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ (อย่างที่คนในแวดวงทันตสาธารณสุขภูธรเป็นอยู่กระมัง ? )

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนกลุ่มนี้แม้จะเป็นคนกลุ่มน้อย ที่ดูแปลกแยก แต่ก็ทำให้โลกใบนี้รุ่มร้อนน้อยลง และน่ารักมากขึ้น
ในฉบับนี้อยากเล่าถึงหนังสือเล่มหนึ่งแก่ชาวทันตภูธร เป็นเรื่องของผู้เขียนหนังสือที่กระโจนออกจากโลกกระแสหลัก ซึ่งเขาเป็นนักการตลาดคนสำคัญของบริษัทซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ของโลก พลิกชีวิตมาสู่การเป็นนักระดมทุนเพื่อการศึกษาของเด็กยากจนในประเทศโลกที่สาม ในรอบสิบปีที่ผ่านมาสามารถสร้างโรงเรียนราว 200 แห่ง ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และภาษา 40 แห่ง หาทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนหญิง 2,700 คน รับบริจาคหนังสือกว่าล้านเล่ม เข้าสู่ห้องสมุด 2,300 แห่งในประเทศเนปาล,เวียดนาม กัมพูชา,ลาว ,ศรีลังกา, อินเดีย, อาฟริกาใต้ และแซมเบีย (ตัวเลขจากเว็บไซต์ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นโรงเรียน 444 โรง ห้องสมุด 5,400 แห่ง ทุนการศึกษา 7,000 คน)

หนังสือเล่มนี้ได้รับคำแนะนำจาก นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ ปราชญ์นักอ่านหนังสือคนสำคัญของประเทศ หมอวิชัยมีวัตรการอ่านที่ทั้งกว้างขวางหลากหลาย ทั้งลุ่มลึก และยังทั้งเชื่อมโยงความกว้างและลึกเข้าหากัน ใครได้ฟังหมอวิชัยแนะนำหรือเล่าเรื่องราวจากหนังสือเล่มใดแล้ว ยากจะอดใจหาหนังสือเล่มนั้นมาอ่านเสียไม่ได้ โชคดีที่สถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 105 “คลื่นสีขาว” เพิ่งชวนหมอวิชัยไปจัดรายการเล่าหนังสือ คนที่อยากได้คำแนะนำถึงหนังสือดีๆ จากคนที่รอบรู้หนังสือที่สุดคนหนึ่งของประเทศ เชิญเปิดฟังรายการ

หนังสือ “ลาไมโครซอฟท์มาช่วยโลก” เป็นหนังสือที่แปลจาก Leaving Microsoft to change the world เขียนโดยจอห์น วู้ด อดีตผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจประจำกลุ่มประเทศจีนของบริษัทไมโครซอฟท์ ที่มีอนาคตรุ่งโรจน์ และรายได้สูงลิ่ว แต่ลาออกจากงานมาก่อตั้งองค์กรสาธารณประโยชน์ Room to Read เพื่อพัฒนาการศึกษาในประเทศโลกที่สาม ด้วยแรงบันดาลใจจากการไปท่องเที่ยวปีนเขาในเนปาล และแวะเยี่ยมโรงเรียนชนบทแถวนั้น พบอาคารเรียนที่แออัดผุพัง ห้องสมุดที่ไร้หนังสือ จนเขารับปากกับครูที่นั่นว่าจะหาหนังสือมาบริจาคในการมาเที่ยวหนหน้า

ด้วยอีเมล์ที่จอห์น วู้ด ส่งบอกรับบริจาคหนังสือจากคนรู้จัก โดยให้ส่งหนังสือไปที่บ้านพ่อแม่ แล้วก็ลืมไป จนได้รับอีเมล์จากพ่อให้กลับบ้านด่วน เพราะมีหนังสือร่วม 3,000 เล่มส่งมาจนแน่นบ้านแล้ว

จากวันที่เขาได้หอบหนังสือขึ้นหลังลาไปมอบให้โรงเรียนในชนบทเนปาลที่มีคนทั้งหมู่บ้านออกมาต้อนรับ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะลาออกจากไมโครซอฟท์มาทำงานสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เขาต้องเลิกกับแฟน ปรับตัว ปรับวิถีชีวิตใหม่ให้เข้ากับเส้นทางใหม่มากมาย

เรื่องราวที่บอกเล่าของจอห์น วู้ด เราได้รับรู้ว่า เขาโตขึ้นมากับนิสัยรักการอ่าน รักหนังสือ และคิดว่าชีวิตของตนก้าวหน้ามาจากการอ่านหนังสือ ห้องสมุดสาธารณะที่แอนดรูว์ คาร์เนกี ได้สร้างไว้ทั่วสหรัฐอเมริการาว 3,000 แห่ง จึงเป็นต้นแบบที่ จอห์น วู้ด ศรัทธา และในจุดหนึ่งของชีวิตเขาอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง แต่ทำในระดับโลก

แต่สำหรับความรู้ของโลกธุรกิจและโลกของงานสาธารณประโยชน์ จอห์น วู้ด สาธิตให้เห็นถึงการนำมาประยุกต์ใช้ข้ามโลกกันได้ เขาใช้ความรู้และประสบการณ์ทางธุรกิจจากไมโครซอฟท์ในการวางวิสัยทัศน์ใหญ่ การวางยุทธศาสตร์ การใช้การตลาดเพื่อการรับบริจาค การจัดตั้งเครือข่ายสาขา การบริหารทีมงาน ฯ

ตัวอย่างเช่น การขอรับบริจาคของเขา จะแสดงผลของเงินบริจาคกับผลที่เกิดจากเงินนั้นอย่างชัดเจน ถ้าบริจาค 8,000 เหรียญ จะได้โรงเรียนใหม่ 1 โรง เงิน 250 เหรียญเป็นทุนการศึกษาเด็กหญิง 1 คน ซึ่งพร้อมจะระบุชื่อ รูปถ่าย และให้ผู้บริจาคได้ติดต่อด้วย

จอห์น วู้ด ใช้ทั้งสถิติข้อมูล (เขาใส่จำนวนผลงานของมูลนิธิที่เป็นปัจจุบันไว้ในเว็บไซต์ และในท้ายชื่อในอีเมล์ที่ติดต่อผู้คน) และใช้ทั้ง “เรื่องเล่า” ของบุคคลและกรณีต่างๆอย่างมีพลัง เขาเล่าเรื่องของ “วู” เด็กหนุ่มผู้ยากไร้ในเวียดนาม ที่รักและอุทิศตัวเพื่อการเรียนรู้อย่างน่าทึ่ง ทั้งต้องทำงานในโรงแรมหาเงิน ใช้เวลาว่างไปเรียนคอมพิวเตอร์ ฝึกภาษาอังกฤษกับแขกชาวต่างประเทศของโรงแรม และด้วยเงินช่วยเหลือเล็กน้อยจากวู้ด “วู”สามารถพาตัวเองจบปริญญาโทวิศวกรรมศาสตร์ มีชีวิตที่ดีขึ้นมากได้ หรือเรื่องของ “คลิปาลี” เด็กหญิงชาวเนปาลในซานฟราน-ซิสโกวัยแปดขวบ ที่พ่อแม่สนับสนุนให้เธออดออมและระดมทุนจากคนรู้จัก จนสร้างโรงเรียนในเนปาลได้หลังหนึ่ง และจะจัดงานระดมทุนเพื่อสร้างโรงเรียนที่สอง

งานกุศลของวู้ด ที่มุ่งไปช่วยเด็กกลุ่มที่ทุกข์ยากที่สุด ก็ไม่ได้เป็นเพียงการสงเคราะห์แบบให้เปล่าเท่านั้น แต่มีแนวคิดทางสังคมร่วมด้วยไม่น้อย โดยมูลนิธิจะเน้นการมีส่วนร่วมลงทุน ที่เรียกว่า “ ทุนท้าทาย” โดยจะบริจาคให้กับโรงเรียนหรือชุมชนที่ต้องระดมทุนมาลงร่วมด้วย แต่ทุนที่มาร่วมนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงินเสมอไป อาจเป็นวัสดุ หรือแรงงานก็ได้ อย่างน้อยการร่วมลงแรงสร้างโรงเรียน ก็ได้สร้าง “ความเป็นเจ้าของ” ของคนในชุมชนต่อโรงเรียนหรือห้องสมุดที่สร้างขึ้น

นอกจากนั้น ความช่วยเหลือทุนการศึกษาของ Room to Read ได้เน้นให้กับเด็กหญิงซึ่งด้อยโอกาสทางการศึกษา ด้วยความเห็นพ้องกับคำกล่าวของ มหาตมะคานธี ที่ว่า “เมื่อให้การศึกษากับเด็กชาย คุณให้ได้แค่เด็กคนหนึ่ง แต่ถ้าให้การศึกษาแก่เด็กหญิง เท่ากับให้การศึกษาทั้งครอบครัว รวมถึงลูกหลานรุ่นต่อไปด้วย”

หวังว่าการอ่านหนังสือที่เล่าเรื่องราวของบุคคลและองค์กรที่น่าทึ่ง ด้วยสำนวนภาษาที่มีสีสันเล่มนี้ อาจจะช่วยให้ชาวทันตภูธรที่ทำงานเพื่อคนอื่นในมุมใดมุมหนึ่งของแผ่นดินไทยอยู่ ได้ความคิด มุมมองใหม่ ถึงซอกมุมที่ร่มเย็นบนโลกทีหมุนเร็วจี๋ ใบนี้บ้างนะครับ 

0 ความคิดเห็น: