โดย หมอปลิว จากชายแดนใต้
มนุษย์ในสมัยโบราณทั้งฝรั่ง จีน อินเดีย อียิปต์ ต่างเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลางของอริสโตเติล นักปรัชญาชาวกรีกนั้นมั่นคงดังหินผากว่าพันปี จนในที่สุด นิโคลัส โคเปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ ได้ตั้งคำถามศึกษาดูดาวจนได้เปลี่ยนโฉมความรู้ของมวลมนุษย์เมื่อประมาณปี คศ. 1500 ด้วยการเสนอทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลแทนที่โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติทางความรู้ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
อีก 200 ปีต่อมาความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์ก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งด้วยกลศาสตร์ของนิวตัน ที่รู้จักกันดีในสมการพื้นฐานของกลศาสตร์ว่า F=ma ซึ่งเป็นวิชาความรู้ที่สร้างสรรค์ขึ้นมากว่า 300 ปีแล้ว สามารถรังสรรค์สร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพื้นฐานด้านจักรกลที่สำคัญยิ่ง จากสมการพื้นฐานนี้สามารถต่อยอดนำไปคำนวณวงโคจรของดวงดาวต่างๆในจักรวาลได้อย่างแม่นยำ จนสามารถทำนายได้ว่าดาวหางอันไกลโพ้นจะกลับมาเยือนเราในวันเวลาใด คำนวณการเกิดสุริยุปราคาและคำนวณการส่งยานอวกาศไปลงดวงดาวต่างๆได้อย่างแม่นยำ เกิดแนวคิดที่เรียกว่า “กระบวนทัศน์แบบจักรกลของนิวตัน” คือทุกสิ่งวัดได้ คำนวณได้
จักรวาลของนิวตันเป็นเสมือนเครื่องจักรอันใหญ่โต หากเราศึกษารายละเอียดเพื่อรู้จักฟันเฟืองนั้นทีละตัว เราจะรู้จักจักรวาลทั้งหมด แต่แน่นอนว่าการจะวัดได้เช่นที่ว่านี้ จักรวาลต้องสถิตนิ่งและเวลาจะต้องเป็นค่าคงที่ในจักรวาล คือทุกหนแห่งหากมีนาฬิกาแขวนไว้ เวลาในจักรวาลจะเท่ากันในทุกตำแหน่ง แต่แล้วคำถามที่แย้งขึ้นมาก็คือ จักรวาลกำเนิดมาอย่างไร ทำไมถึงหยุดนิ่ง เกิดมาก็สมบูรณ์เช่นนี้เลยหรือ ซึ่งในมุมหนึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึกที่สรรพสิ่งต้องมีการเกิดเติบโตและดับไป แต่ในอีกมุมหนึ่งก็สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไบเบิลที่พระเจ้าสร้างโลกและจักรวาลใน 7 วัน อย่างไรก็ตามโลกจักรกลของนิวตันได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของแนวคิดแบบลดทอน (reduction) คือองค์รวมเกิดจากคุณสมบัติของหน่วยย่อย หรือ 1+1+1+1 จะเท่ากับ 4 เสมอ
ต่อมาความรู้ทางฟิสิกส์ ได้ก้าวกระโดดครั้งใหญ่อีกครั้งจากนักวิทยาศาสตร์ที่ผู้คนรู้จักหน้าตามากที่สุดในโลกคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในอีก 200 ปีถัดมา เมื่อความรู้แห่งโลกจักรกลของนิวตันถูกตรวจสอบอย่างหนัก มีการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ในนามของทฤษฎีสัมพันธภาพจนนำมาสู่ควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งมหัศจรรย์เข้าใจยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มวลสารที่จับต้องได้มองเห็นได้นั้นแท้จริงก็คือพลังงาน พลังงานที่จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นเหมือนไม่มีตัวตนแต่รับรู้ได้นั้นก็สามารถเปลี่ยนรูปเป็นมวลสารได้ นั่นหมายความว่า สสารไม่มีจริง ทุกอย่างน่าจะเรียกว่าสนามพลังงานมากกว่าเรียกว่ามวล ความต่างของการสั่นของสนามพลังที่ต่างกันทำให้เกิดการก่อรูปของคุณสมบัติของมวลสารที่ต่างกันไป นั่นอาจแปลได้ว่า ทุกอย่างแท้จริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน เป็นสภาวะเดียวกัน ที่อาจเรียกว่า โมกขษะหรืออาตมันตามปรัชญาอินเดียโบราณ
ที่สำคัญฟิสิกส์ยุคใหม่ค้นพบว่าแท้จริงจักรวาลไม่ได้หยุดนิ่ง จักรวาลกำลังขยาย และน่าเชื่อว่าจักรวาลนั้นมีจุดกำเนิดเมื่อ 17,000 หมื่นล้านปีมาแล้วจากปรากฏการณ์บิ๊กแบง (Big Bang) หรือการระเบิดใหญ่ของมวลสารตั้งต้นของจักรวาลที่มีขนาดเล็กมาก การระเบิดในครั้งนั้นส่งผลในจักรวาลยังขยายตัวถึงทุกวันนี้
ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่หยุดนิ่งและเป็นนิรันดร์ แม้แต่เวลาก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์ คือไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แต่ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อม เช่นหากเรานั่งจรวดด้วยความเร็วที่เข้าใกล้ความเร็วแสง ( ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงที่สุดในจักรวาล ) เราจะเห็นเวลานั้นแทบจะหยุดนิ่ง เราจะไม่แก่ไม่ชราในขณะที่เวลาของคนบนโลกก็หมุนไปตามปกติ อีก 10 ปีถัดมาหากเรากลับสู่โลกเพื่อนเราจะแก่เราถึง 10 ปี
จากที่เดิมเคยเชื่อว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง แม้จะสะท้อนกระจกก็จะเพียงเปลี่ยนทิศทางแต่ก็ยังเดินทางเป็นเส้นตรง แต่ในวันนี้เราทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุที่มีมวลขนาดใหญ่มีแรงดึงดูดมากเช่นดวงอาทิตย์ แสงถูกแรงดึงดูดทำให้แสงนั้นโค้งได้ ดังนั้นดาวที่เราเห็นบนท้องฟ้านั้น ย่อมไม่ใช่ตำแหน่งที่แท้จริงของดาวนั้น เพราะแสงดาวนั้นอาจโค้งงอหลายระลอกกว่าที่จะเดินทางมาถึงตาของเรา ทำให้เราเห็นดาวในตำแหน่งที่ไม่ใช่ความจริง นั่นคือสิ่งที่ตาเห็นนั้น แท้จริงคือภาพลวงตา สอดคล้องกับสัจธรรมของอินเดียโบราณทั้งพุทธและพราหมณ์
จากจักรวาลที่ใหญ่โตจนสุดจะจินตนาการ พอหันกลับมาดูธรรมชาติของปรากฎการณ์ระดับอะตอมแล้ว ยิ่งพิศวงไม่แพ้จักรวาลภายในอะตอมที่ดูเป็นของแข็งนั้น แท้จริงเต็มไปด้วยที่ว่างเปล่าเหมือนกับจักรวาล อะตอมนั้นไม่ได้เป็นก้อนกลมๆแต่เป็นเพียงสนามพลังของพลังงานที่วิ่งวนอย่างรวดเร็วใกล้ความเร็วแสงภายในขอบเขตของอะตอม มีการจับรวมกันเป็นโมเลกุลและเป็นสสารเป็นไม้เป็นเหล็กเป็นหินขึ้นมา แท้จริงในหินที่แข็งที่สุดนั้น คือความว่างเปล่าของสนามพลัง แท้จริงหินไม่มีตัวตน ทุกสิ่งเป็นอนัตตาตามปรัชญาตะวันออก
จุดเริ่มต้นของการได้มาซึ่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการเข้าใจธรรมชาติที่แท้นั้น ล้วนมาจากการตั้งคำถามที่ท้าทายทั้งสิ้น เซอร์ไอแซค นิวตัน ตั้งคำถามที่พื้นฐานอย่างยิ่งแต่ไม่มีใครถามว่า ทำไมแอบเปิ้ลและสสารทุกอย่างจึงตกสู่พื้นโลก ทำไมไม่ลอยขึ้นฟ้า มีแรงอะไรทำให้เกิดสิ่งนี้ จนนำมาสู่การค้นพบแรงดึงดูดของโลกที่ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครมองเห็นด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยคณิตศาสตร์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เริ่มด้วยการกล้าถามคำถามที่ยิ่งใหญ่ว่า จักรวาลมีกำเนิดมาอย่างไร ? และมุ่งมั่นหาคำตอบตลอดช่วงชีวิต
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บอกไว้ว่า ความรู้มีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการไร้ขีดจำกัด และไอน์สไตน์ยังได้กล่าวว่า Imagination is more important than knowledge หรือ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ทั้ง 2 ประโยคนี้กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ตรงของนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไอน์สไตน์ เพราะการค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพและสมการที่สั้น กระชับ แต่ทรงพลังอย่าง E=mc2 นั้นก็เกิดจากจินตนาการและคำถามที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าถามว่า “หากมนุษย์สามารถเดินทางด้วยความเร็วเท่าแสงแล้ว เราจะเห็นอะไร”
อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ เคยบอกไว้ว่า การสร้างความเปลี่ยนแปลงต้องกล้าตั้งคำถามที่ท้าทาย และให้ “ love your questions ” นั่นคือ ให้เรารักในคำถามของเรา มุ่งมั่นหาคำตอบอย่างไม่ลดละ เพราะคำถามที่ท้าทายนั้นอาจต้องใช้เวลาค่อนชีวิตจึงค้นพบคำตอบนั้น และจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของสังคมและมนุษยชาติ
คาร์ลมาร์กผู้เขียนทฤษฎีชี้นำชนชั้นกรรมาชีพ ก็เริ่มต้นจากการกล้าตั้งคำถามที่ท้าทายเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางสังคม เพื่อการแสวงหาสังคมในอุคมคติ เมาเซตุงผู้ปฏิวัติจีนแดงก็เริ่มการปฏิวัติสังคมจีนด้วยคำถามว่า ความเป็นธรรมในสังคมจีนจะเกิดได้อย่างไร จนได้คำตอบที่เชื่อมั่นว่า การปฏิวัติสังคมนิยมคือหนทางที่จะไปถึงซึ่งสังคมจีนที่เท่าเทียมกัน จึงนำมาสู่การพิสูจน์คำตอบนั้นจนถึงทุกวันนี้
ก่อนจะมีคำตอบ ต้องมีคำถามที่ท้าทาย แล้วจักรวาลอันลี้ลับก็จะมาอยู่แค่เอื้อมมือ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น